โดย สตีฟ ซอว์เยอร์์์
เรื่องราวจากชีวิตจริง...ในช่วงที่เรียนชั้นมัธยม สตีฟ ซอว์เยอร์ ซึ่งป่วยเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด ได้รับเชื้อไวรัสHIV และโรคตับอักเสบ ชนิดC จากโลหิตที่ไม่ได้รับการคัดกรอง หลายปีต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 19 ปี สตีฟรู้ว่าความตายของเขาใกล้เข้ามาทุกที เขาได้ใช้เวลาที่เหลือ อยู่เดินทางไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆหลายร้อยแห่ง เพื่อเล่าเรื่องราวของ การมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังและสันติสุขในท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย ให้แก่นักศึกษาเหล่านั้นฟัง มีนักศึกษาซึ่งได้ฟังเรื่องราวของสตีฟหลาย พันคนทีเดียว ที่จะบอกคุณได้ว่า ชีวิตจริงที่เปี่ยมด้วยความหวังและความรัก ของพระเจ้าจากชีวิตของสตีฟ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาตลอดไปอย่างไร เรื่องราวที่คุณกำลังจะได้อ่านเป็นเรื่องราวที่ได้รับการเรียบเรียงแล้วจากการพูด ครั้งหนึ่งของสตีฟ ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เมืองซานตา บาบาร่า
ห่างออกไปจากชายฝั่งของรัฐเมน มีเรือของราชนาวีลำหนึ่งกำลังแล่นอยู่ท่ามกลางหมอกหนาจัด ในคืนนั้น ทหารเรือที่เฝ้าดูเหตุการณ์มองเห็นแสงไฟที่อยู่ข้างหน้าระยะห่างพอสมควร เขาติดต่อกัปตันเรือในทันที เขาพูดว่า “มีแสงไฟอยู่ข้างหน้าโน่นตรงกับทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป ท่านจะให้ผมทำยังไงครับ?” กัปตันก็ตอบกลับมาว่า ให้เปิดไฟกระพริบบอกเรือที่อยู่ตรงหน้าให้เปลี่ยนเส้นทางของเขาเสีย เรือที่อยู่ตรงหน้าก็กระพริบไฟกลับมาบอกว่า “ไม่ คุณนั่นแหละต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่” และกัปตันเรือก็บอกลูกน้องคนเดิมอีกครั้งว่าสั่งให้เรือลำนั้นเปลี่ยนเส้นทางใหม่เดี๋ยวนี้ และอีกครั้งที่มีการตอบกลับมาว่า “ไม่ คุณต้องเปลี่ยนเส้นทาง” และด้วยความพยายามครั้งสุดท้าย ลูกเรือคนนั้นส่งสัญญาณไปบอกเรือลำดังกล่าวว่า “นี่เป็นคำสั่งจากกัปตันเรือรบของราชนาวีสหรัฐ และคุณจะต้องเปลี่ยนเส้นทางของคุณเดี๋ยวนี้” คำตอบก็กลับมาว่า “ไม่ได้ คุณต้องเปลี่ยนเส้นทางของคุณ เพราะที่นี่คือประภาคาร”
เรื่องที่ได้เล่าข้างต้นชี้ให้เราเห็นถึง วิธีการของเราที่เป็นมนุษย์ซึ่งมักจะใช้ในการจัดการกับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน เรามักจะต้องการให้สถานการณ์ต่างๆรอบตัวเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปแทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเราเองให้สามารถอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้นได้ ชีวิตของผมเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมในเรื่องนี้
ผมเกิดมาพร้อมกับโรคเลือดไหลไม่หยุด มันเป็นโรคความบกพร่องทางโลหิต ที่ทำให้กระดูกและข้อต่อของผมบวมโดยไม่มีสาเหตุ โรคเลือดไหลไม่หยุด รักษาได้โดยการใช้โปรตีนที่ได้รวบรวมจากกลุ่มโลหิตที่ได้รับการบริจาคมา ในระหว่างปี1980-1983 ผู้บริจาคคนหนึ่งในจำนวนหลายคนในกลุ่มโลหิตที่ผมใช้ในช่วงเวลานั้น ติดเชื้อไวรัส HIV ผลก็คือการรักษาที่ผมได้รับ (อาจจะเป็นร้อยๆครั้ง) ในช่วงเวลาเหล่านั้นโดยใช้กลุ่มโลหิต กลุ่มเดียวกันจึงได้รับเชื้อ HIVไปด้วย และในเวลาต่อมาผมก็ได้รับเชื้อโรคตับอักเสบชนิด C เข้าไปด้วยอีกในลักษณะเดียวกัน
ผมไม่ได้รับการแจ้งว่าติดเชื้อHIV จนกระทั่งผมอยู่ปีที่สองของชั้นมัธยมปลาย เมื่อผมได้รับข่าวนี้ ปฏิกิริยาของผมในตอนนั้นก็เป็นแบบทั่วๆไป เมื่อเราเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่เราไม่สามารถจะจัดการกับมันได้ ผมได้ทำสิ่งนี้คือการปฏิเสธว่าผมไม่ได้ติดเชื้อ และทำเหมือนกับว่าเชื้อนั้นไม่ได้อยู่ในร่างกายของผม เชื้อHIVไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนการเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งโรคนี้ทำให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อเกิดอาการบวม และมันเจ็บปวดมากๆ แต่การติดเชื้อHIV ไม่มีการแสดงอาการภายนอก คุณไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะแกล้งทำเป็นว่าผมไม่ได้ติดเชื้อนั้น และคุณพ่อคุณแม่ของผมก็ทำแบบเดียวกัน ท่านจะพูดว่า “ลูกดูดีอยู่นะ ลูกดูโอเค ลูกน่าจะปกติดี”
ตัวอย่างที่ดีของการปฏิเสธความจริงแบบนี้ อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Monty Python’s In Search of the Holy Grail (การตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ของ มอนตี้ ไพธอน) ในฉากหนึ่งขณะที่กษัตริย์อาเธอร์กำลังเดินเล่นอยู่ในป่า และได้พบกับอัศวินในชุดเกราะสีดำที่บุบบิบบู้บี้ อัศวินผู้นี้ขวางทางของพระองค์อยู่และกษัตริย์อาเธอร์รู้ว่าพระองค์ไม่สามารถที่จะผ่านไปได้ ถ้าหากพระองค์ไม่ต่อสู้เอาชนะอัศวินผู้นี้ไปเสียก่อน การต่อสู้ก็เกิดขึ้นหลังจากนั้น และกษัตริย์อาเธอร์สามารถตัดแขนข้างหนึ่งของอัศวินชุดดำผู้นั้นได้ กษัตริย์อาเธอร์จึงเก็บดาบใส่ฝักของพระองค์ ก้มศีรษะให้เขาแล้วตั้งท่าจะเดินจากไป แต่อัศวินผู้นั้นกล่าวว่า “ท่านยังไปไม่ได้” กษัตริย์อาเธอร์ตอบว่า “เราได้ตัดแขนของเจ้าแล้วนะ” อัศวินผู้นั้นมองไปที่มันแล้วตอบว่า “ท่านไม่ได้ตัดมันสักหน่อย” กษัตริย์อาเธอร์ก็เลยมองไปที่พื้นแล้วบอกว่า “แขนของเจ้าอยู่ที่นั่นไงล่ะ” อัศวินผู้นั้นก็ตอบว่า “มันก็แค่แผลสดเท่านั้นแหละ” กษัตริย์อาเธอร์ก็ตระหนักได้ในทันทีว่า พระองค์ต้องทำให้อัศวินผู้นี้บาดเจ็บอย่างสาหัส พระองค์จึงจะสามารถผ่านเขาไปได้ ดังนั้นการต่อสู้จึงดำเนินต่อไป กษัตริย์อาเธอร์ได้ตัดแขนตัดขาของอัศวินผู้นั้นจนหมด สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่เหมือนกับตอไม้มีศีรษะที่ตั้งอยู่บนพื้นเท่านั้น เมื่อกษัตริย์อาเธอร์กำลังก้าวออกเดิน คุณจะได้ยินอัศวินคนนั้นตะโกนไล่หลังมาด้วยเสียงอันดังว่า “กลับมานะเจ้าขี้ขลาด เราจะกัดหัวเข่าของเจ้าทิ้งเสีย”
เห็นไหมว่า ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากเลย อัศวินผู้นั้นได้ ใช้การปฏิเสธ เขาไม่สามารถที่จะเผชิญความจริงที่ว่า เขาแพ้ ในการต่อสู้แล้ว และแม้ว่านี่จะเป็นตัวอย่างที่น่าขันของการ ปฏิเสธความจริงก็ตามที แต่อันตรายของการปฏิเสธความจริง นั้นก็มีอยู่มากทีเดียว ถ้าผมยังคงปฏิเสธความจริงที่ว่า ผมติด เชื้อ HIVแล้วละก็ ผมอาจจะไม่ดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกต้อง เมื่อมีบาดแผลเล็กๆน้อยๆหรืออะไรทำนองนี้ และผมอาจจะ ทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรงหรืออาจจะฆ่าเขาเลยด้วยซ้ำไป แต่ผลร้ายที่จะเกิดกับคุณเมื่อคุณปฏิเสธความจริงในลักษณะนี้ มันยังเป็นสิ่งที่อันตรายและทำให้เจ็บปวดอย่างมากด้วย เมื่อคุณ เก็บหรือกดอะไรไว้เป็นเวลานาน และเราก็แกล้งทำเป็นว่า มันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันก็จะถูกเก็บสะสมไว้ แล้วในที่สุดมันก็ระเบิดออกมา
ผมสามารถปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIVได้ประมาณสามปี อย่างไรก็ตามในปีสุดท้ายของการเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมมีอาการป่วยอย่างมาก ผมเริ่มแสดงอาการของผู้ติดเชื้อ Tเซล ซึ่งเป็นเซลเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ต่อสู้การติดเชื้อ จำนวนของ Tเซลในร่างกายของคุณจะเป็นตัวบ่งบอกว่า คุณเป็นเพียงผู้ติดเชื้อ เท่านั้น หรือ คุณเป็นเอดส์ เมื่อ Tเซลของคุณตกลงต่ำกว่า200 นั่นคือคุณเป็นเอดส์เต็มตัวแล้ว สำหรับกรณีของผม นับจำนวน Tเซลได้ 213 และมันกำลังลดลงเรื่อยๆ ผมมีอาการป่วยอย่างมาก และซีดมากๆด้วย ผมทานอาหารไม่ได้เลย ผมไม่สามารถที่จะแกล้งทำเหมือนว่า การติดเชื้อเอดส์หรือ HIVไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป มันเป็นความจริงอย่างชัดเจนเลยทีเดียว
การปฏิเสธความจริงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงต้องหาหนทางใหม่ในการรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของผม สิ่งแรกที่ผมลองทำดูก็คือการโทษใครบางคน ผมคิดว่าผมคงจะรู้สึกดีขึ้น ถ้ามีใครสักคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดว่า “สตีฟ นี่เป็นความผิดของเราเอง เพื่อน ขอโทษด้วยนะ” ดังนั้นเริ่มแรก ผมจึงเริ่มโทษกลุ่มรักร่วมเพศทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่ง่ายที่จะทำอย่างนั้น แต่ต่อมาเมื่อผมเริ่มคิดถึงมัน ผมตระหนักว่า มันโง่มากที่จะกล่าวโทษคนทั้งกลุ่มเกี่ยวกับปัญหาของผมเอง เมื่อนั้นผมก็ตัดสินใจว่า ผมจะกล่าวโทษพระเจ้า ตอนนั้นผมไม่ได้มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าสักเท่าไหร่หรอก แต่ผมมีความคิดอยู่ว่า ถ้าหากมีใครที่เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด ก็คงจะเป็นพระเจ้านี่แหละ ผมจึงได้กล่าวโทษพระเจ้า
เมื่อคุณมีที่กักเก็บความเจ็บปวดที่สะสมของคุณไว้ มันก็จะกลายเป็นความโกรธ และไม่ช้าไม่นานมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นความโกรธแค้น ตอนนี้ผมเริ่มที่จะรับมือกับทุกสิ่งที่ผมต้องเผชิญด้วความโมโหโกรธา ครั้งใดก็ตามที่มีใครพูดบางสิ่งที่ทำให้ผมรำคาญ ผมจะระเบิดอารมณ์ใส่พวกเขา ผมจะชกผนังห้อง หรือทำลายข้าวของในห้องของผม อะไรเช่นนี้เป็นต้น
แต่ผมพบว่า ความโกรธสามารถที่จะทำให้ความคิดของผมพร่ามัว และมันขัดขวางคุณทำให้ไม่สามารถใช้ความคิดแบบมีเหตุมีผลได้ และที่แย่กว่านั้นก็คือในกระบวนการต่างๆของความโกรธ มันทำให้คนที่ผมรักเจ็บปวด การรับมือกับความเจ็บปวดที่ดีกว่านั้นคือการร้องไห้ เพราะว่ามันไม่ได้ทำให้ใครเจ็บปวดและมัน ทำให้คุณรู้สึกดีจริงๆ
ครั้งหนึ่งผมอยู่ในห้องนอนของผมและรู้สึกแย่ถึงขีดสุด ผมป่วยหนักมากและน้ำหนักลดลงเยอะมาก ผมกรีดร้อง แช่งว่าพระเจ้า ชกต่อยผนังห้องของผม และต่อมาคุณพ่อของผมเดินเข้ามา ท่านปิดประตูตามหลังด้วย คุณพ่อของผมกำลังพักฟื้นจากการติดสุราเรื้อรัง โดยกลุ่มเพื่อนผู้อยากเลิกสุรา (Alcohol Anonymous) ท่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังที่สูงส่งกว่าเรา ท่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คุณพ่อท่านมองมาที่ผมแล้วพูดว่า “สตีฟ ลูกรู้ใช่ไหมว่า พ่อช่วยลูกไม่ได้ คุณหมอของลูกช่วยลูกไม่ได้ คุณแม่ของลูกช่วยลูกไม่ได้ ลูกก็ช่วยตัวลูกเองไม่ได้ ผู้เดียวที่สามารถช่วยลูกได้ในตอนนี้ก็คือพระเจ้า” แล้วท่านก็เดินออกจากห้องไปและปิดประตู
ตอนนั้นผมเพิ่งแช่งว่าพระเจ้าเสร็จ ผมก็เลยคิดว่าผมไม่อยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่จะการขอความช่วยเหลือจากพระองค์ แต่ว่าผมเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว ผมคุกเข่าลงและพูดโดยผ่านม่านน้ำตาว่า “เอาละ พระเจ้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ ขอให้ช่วยผม แล้วผมจะช่วยพระองค์” ภายในระยะเวลาเพียงสั้นๆ น้ำหนักของผมเพิ่มขึ้นจนเท่าเดิม จำนวน Tเซลของผมกระโดดกลับมาอยู่ที่ 365 ซึ่งมันเป็นตัวเลขที่ดีมากทีเดียว และผมรู้สึกเยี่ยม ใช่ ผมรู้สึกดีมาก... มันเป็นอย่างนั้นแหละ และผมก็คิดว่า “โอเค ขอบคุณนะพระเจ้า ลาก่อน นั่นมันดีมากเลยนะ ลาก่อนละ”
ผมเรียนจบชั้นมัธยมปลาย และไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อจะสอบคัดเลือก เข้าสถานศึกษาในช่วงฤดูร้อน ก่อนเริ่มชั้นปีที่หนึ่ง ในตอนนั้นเองที่ผม ได้พบกับรูมเมท (เพื่อนร่วมห้องพัก)ของผม เมื่อผมถึงที่นั่นและสอบเสร็จ แล้ว ผมพบกับเด็กผู้ชายตัวผอมสูง ผมบลอนด์คนหนึ่งยืนอยู่ นายคนนั้น พูดว่า “เฮ้ นายดูปกติดีนะ มาเป็นรูมเมทของเราไหม?” และผมก็คิดว่า โอเค นายดูไม่ค่อยปกติ แต่... “ได้เลย” เราได้กลายมาเป็นรูมเมทกัน และจริงๆแล้วกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ผมได้ทราบว่าเพื่อนของผมคนนี้ เป็นคริสเตียน ผมเองก็มีภาพของคริสเตียนในสมองของผมเรียบร้อยแล้วว่า คริสเตียนต้องเป็นอย่างไร สำหรับผม คริสเตียนก็คือพวก มือถือสากปากถือศีล พวกชอบพูดเหยียดหยามคนอื่น พวกชอบตัดสินกล่าวโทษคนอื่น นั่นคือภาพของคริสเตียนที่ผมคิดว่าจะเป็นแบบนี้เท่านั้น แต่รูมเมทของผมแตกต่างออกไป
รูมเมท ของผมมีปัญหาเกี่ยวกับสมองด้านการอ่านและสะกดคำ ผมสังเกตเห็นว่า เวลาเขาพยายามที่จะอ่านหรือท่องจำวิชาเรียนแล้วเกิดหงุดหงิดกับมัน ซึ่งถ้าเป็นผม เมื่อมาถึงจุดนี้ก็คงจะชกผนังหรือทำลายข้าวของไปแล้ว แต่สำหรับเขา เขาแค่หยุด หลับตาลง อธิษฐาน สูดลมหายใจ แล้วก็กลับไปนั่งอ่านเหมือนเดิม สิ่งนั้นทำให้ผมประหลาดใจมากทีเดียว (ผมคิดว่า “นายไม่ทำลายข้าวของสักอย่าง ทำได้ยังไง? นายต้องขว้างปาบางสิ่งบางอย่างซิ”) ผมอัศจรรย์ใจมากที่เขาสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้
รูมเมทของผมชวนผมไปที่ชายหาดเดโทนากับเขาในช่วงวันหยุดฤดูใบไม้ผลิ เมื่ออยู่ชายหาดแล้ว เพื่อนของผม ก็ตั้งต้นพูดคุยกับผู้ชายบางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเรา ช่วงแรกพวกเราก็เริ่มพูดคุยกับชายคนนั้นในเรื่องที่เราสนใจร่วมกัน ในเรื่องธรรมดาๆ หลังจากนั้น เพื่อนของผมเริ่มพูดคุยเรื่องที่ลึกขึ้น และเริ่มหัวข้อที่ค่อนข้างซีเรียส ผมเองไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมการสนทนาที่หนักๆอย่างนั้น ผมได้ผ่านความทุกข์ยากมาเยอะ มันรับได้ค่อนข้างยาก ที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในขณะที่ยังหนุ่มแน่นอยู่แท้ๆ และผมก็ไม่อยากที่จะพูดคุยเรื่องเหล่านั้นกับคนแปลกหน้าที่เราเพิ่งพบที่ชายทะเล ผมก็เลยค่อยๆห่างออกมาจากการสนทนา พวกเขาก็นั่งคุยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งมันมาถึงจุดที่เพื่อนของผมเริ่มคุยให้ชายคนนั้นฟังว่าสิ่งที่เขาเชื่อในฐานะที่เขาเป็นคริสเตียนนั้นคืออะไร ผมมีภาพของคริสเตียนในสมองอยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นอย่างไร แต่ผมไม่เคยทราบว่าพวกเขาเชื่อเกี่ยวกับอะไร หรือคิดอย่างไรกับมัน ผมก็เลยคล้ายๆกับคอยฟังว่าเพื่อนผมพูดถึงมันอย่างไรบ้าง
ผมไม่รู้ว่า ผมจะอธิบายเกี่ยวกับมันได้ดีเท่ากับที่เพื่อนของผมทำหรือไม่ แต่เพื่อนผมพูดอะไรในทำนองนี้ว่า “เห็นได้ชัดว่า ผมเชื่อในพระเจ้า และผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่เรา ไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ เราจึงได้ผลักไสพระองค์ออกไป การผลักไสพระเจ้าออกไป คือ การ
ผมก็เลยบอกว่า “แต่พระเจ้าทรงรักเรานะ” และเขาบอกว่า “แต่พระเจ้าก็ทรงยุติธรรมด้วย ความรักที่ปราศจากความยุติธรรม ไม่มีความหมายอะไรเลย” ผมไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเท่าใดนัก เขาก็เลยพูดว่า “ถ้างั้น ลองนึกภาพคนที่คุณแคร์มากที่สุดในโลก คนๆนั้นที่คุณยอมแม้แต่จะสละชีวิตของคุณเพื่อเขา และนึกภาพต่อไปว่า คุณได้ผลักไสคนๆนั้นออกไปและคุณก็ไม่ได้พบกับคนๆนั้นอีกเป็นเวลานานเลยทีเดียว และวันหนึ่งคุณก็ได้เจอคนๆนั้นอีก เขาอยู่ห่างออกไปประมาณ ห้าสิบหลา และคุณก็วิ่งอ้าแขนกว้างเข้าไปหาเขา แต่มีคนหยุดคุณไว้แล้วบอกว่า “ไม่ได้ นายผลักไสฉันออกมาแล้ว จำได้ไหม?” ตอนนี้ให้นึกถึงภาพที่เราผลักไสพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลออกไป
และผมก็คิดว่า “ว้า นั่นไม่ดีเลยนี่” และเขาพูดว่า “แต่โชคดี มันไม่ได้ จบแค่นั้นหรอก เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเราและทรงห่วงใยเรามาก พระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะจ่ายค่าของความบาปแทนเรา และ เพราะว่า พระเยซู(พระเจ้าผู้ทรงมาเป็นมนุษย์) ทรงดำเนินชีวิตอย่าง ปราศจากบาป พระองค์จึงทรงสามารถที่จะจ่ายค่าความบาปแทน ผู้อื่นได้ พระองค์ทรงจ่ายค่าความบาปนั้นเพื่อเรา”
และเขาพูดว่า “แล้วพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายสามวันต่อมา พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือความตายฝ่ายวิญญาณและทรงเสนอชีวิต นิรันดร์ให้กับเรา ตอนนี้เราก็จะไม่ใช่แค่ตายไปเฉยๆเท่านั้น หลังจากนั้นเราจะได้อยู่ในนิรันดร์กาลกับผู้ทรงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล”
แล้วผมก็บอกว่า “ว้าว” เขาพูดว่า “แต่ว่าจุดสำคัญก็คือ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเสนอชีวิตนิรันดร์และทรงจ่ายแทนความบาปให้กับเราก็ตาม ถ้าหากเราไม่ยอมรับสิ่งที่พระองค์เสนอให้กับเรา... คือว่ามันขึ้นอยู่กับเราจริงๆ” ในตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจกระจ่างนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ และโชคดีที่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนผม เพื่อนผมเลยพูดว่า “โอเค ลองจินตนาการดูนะว่าคุณกำลังขับรถขาลงไปตามถนนข้างหน้านี้ ด้วยความเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง - ผู้แปล) ในขณะที่ขีดจำกัดความเร็วของถนนนี้อยู่ที่ 35 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) รถของคุณก็เหมือนกำลังบินลงไปตามถนน และตำรวจก็เรียกให้คุณจอดและเขียนใบสั่งให้คุณ ในการจ่ายค่าปรับ คุณต้องไปที่ศาลในวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้องพิพากษามองไปที่บัลลังก์พิพากษา คุณเห็นว่าผู้พิพากษาก็คือคุณพ่อของคุณเอง และคุณคิดว่า เฮ้ นั่นคุณพ่อเรานี่นา คุณพ่อของคุณมองมาที่คุณและพูดว่า “สตีฟ คุณได้ละเมิดกฎหมายหรือ? และคุณบอกว่า “ใช่แล้ว” คุณพ่อคุณก็พูดว่า “เอาละ คุณต้องจ่ายค่าปรับ500 ดอลลาร์หรือต้องถูกจำคุกสองวัน” หลังจากนั้นท่านก็ทุบค้อนดังปังและก็แค่นั้น
“เพราะว่าท่านเป็นผู้มีความยุติธรรมและเป็นกลาง ท่านต้องมีการพิพากษาโทษ แต่หลังจากนั้น ท่านก็ลงจากบัลลังก์พิพากษา และถอดเสื้อคลุมของท่านออก ล้วงหยิบของบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง และยื่นเงินจำนวน 500 ดอลล่าร์ให้คุณ เพราะว่าท่านรักคุณ ท่านจึงจ่ายค่าปรับแทนคุณ แต่คุณต้องยอมรับเงินนั้น ท่านยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับเงิน 500 ดอลล่าร์และก็พูดว่า “รับเอาไปซิ” เช่นเดียวกันกับพระเจ้า คุณสามารถที่จะแค่พูดว่า “ไม่ล่ะ ผมจะใช้เวลานิรันดร์กาลของผมแยกขาดจากพระองค์ก็แล้วกัน มันเป็นสิ่งที่คุณต้องเลือก”
เพื่อนผมพูดว่า หนทางที่เราจะรับการจ่ายแทนของพระเจ้าก็โดยผ่านทางการอธิษฐาน “คุณแค่ยอมรับการจ่ายแทนของพระเจ้า โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดที่คุณจำเป็นต้องทำเพื่อจะรับสิ่งนี้จากพระเจ้าได้ “มันเป็นของขวัญจากพระเจ้า” ผมเพิ่งจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพระคุณครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพื่อนผมเขาพูดว่า “มันเป็นของขวัญที่คุณรับมันโดยความเชื่อโดยผ่านทางการอธิษฐาน” และเพื่อนของผมเสนอที่จะอธิษฐานกับผู้ชายคนนั้น และขณะที่ชายคนนั้นอธิษฐานออกเสียง ผมได้อธิษฐานตามด้วยแต่ทำเงียบๆ
จากจุดนั้นเอง ชีวิตของผมก็มีมุมมองใหม่ทั้งหมด ผมไม่จำเป็นต้องเข้านอนทุกๆคืนพร้อมกับความกังวลที่ว่าผมจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ในวันรุ่งขึ้น อีกต่อไป ผมไม่จำเป็นต้องกลัวความตายอีกต่อไป เพราะว่า การตายไม่ใช่แค่การไปอยู่ในที่ที่ดำสนิทหรือที่มืดมิด ตอนนี้ถ้าผมตายไป ผมก็จะได้ใช้เวลานิรันดร์กาล ตลอดกาลกับพระผู้ทรงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล มันเป็นความรู้สึกเป็นอิสระจริงๆ
คุณพ่อคุณแม่ของผมได้ยอมรับการจ่ายแทนนั้นด้วยเช่นเดียวกัน พวกท่านได้อธิษฐานต่อพระเจ้าดังเช่นที่ผมได้ทำและชีวิตของพวกท่านเองก็มีมุมมองใหม่ทั้งหมดด้วย มันช่างน่าอัศจรรย์ใจที่พวกท่านยอมให้ผมเดินทางไปทั่ว ห่างไกลจากพวกท่าน แม้จะรู้ว่าผมอาจมีเวลาเหลือแค่หกเดือนที่จะมีชีวิตอยู่ และคุณคงพอจะจินตนาการได้ว่ามันจะยากแค่ไหนสำหรับพวกท่านที่จะยืนมองดูลูกชายของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่พวกท่านไม่สามารถที่จะยื่นมือออกทำอะไรได้เลย ไม่มีอะไรที่พวกท่านสามารถทำได้เลย แต่บัดนี้ เหตุผลเดียวที่พวกท่านสามารถรับมือกับสถานการณ์นั้นได้ และเป็นเหตุผลอันเดียวกันที่ผมรับมือกับมันได้เช่นกัน นั่นก็คือ เราแต่ละคนมีพระคริสต์อยู่ในชีวิตของเรา
ผมสามารถจะให้โอกาสกับคุณในการรับเอาการจ่ายแทนของพระเจ้า เพื่อคุณได้ไหม? ถ้าหากคุณมีวิธีการรักษาโรคเอดส์ ผมรู้ว่า คุณคงจะ ให้ผมเป็นแน่ ผมเองรู้วิธีที่จะไปอยู่ในนิรันดร์กาลซึ่งมันเป็นของขวัญ จากพระเจ้า ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะนำเสนอมันให้คุณ ถ้าหากคุณ กำลังประสบกับบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ด้วย ตัวคุณเอง และคุณต้องการใครสักคนที่นั่น ผู้ซึ่งจะยืนเคียงข้างคุณ และคอยพยุงคุณไว้ ขณะเมื่อโลกทั้งโลกกำลังเตะถีบและแทงคุณจาก ข้างหลัง ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมอยากจะขอให้คุณอธิษฐานตามผมเดี๋ยวนี้เลย สิ่งนี้ไม่ใช่ถ้อยคำวิเศษหรือคาถาอะไร และมันก็ไม่ใช่การเดินทาง หรือ ความคิดที่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมที่ลึกซึ้งรุนแรงด้วย แต่มันคือการเริ่มต้นในการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และก็เหมือนกับความสัมพันธ์อื่นๆ คือมันต้องใช้เวลา แต่ผมขอเตือนคุณว่าถ้าคุณรู้สึกจริงๆว่าคุณต้องการสิ่งนี้ อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไป คุณรับได้ฟรีๆ
ผมจะพูดคำอธิษฐาน การอธิษฐานไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำโดย การหลับตา หรือก้มศีรษะ หรือพนมมือ หรือร้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา(แปลว่า สรรเสริญพระเจ้า –ผู้แปล)” ไม่มีอะไรเหมือนอย่างนั้นเลย มันเป็นท่าทีภายในจิตใจของคุณ เป็นการที่คุณพูดกับพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพเจ้าได้ละเมิดกฎของพระองค์ ข้าพเจ้าได้ผลักไส ให้พระองค์ออกไป และข้าพเจ้าต้องการที่จะกลับมา ด้วยการยอมรับการจ่ายแทนของพระองค์” ถ้าคุณรู้สึกว่า คุณต้องการแบบนั้น ขอให้คุณพูดคำอธิษฐานนี้ ว่า “พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องการพระองค์ด้วยใจจริง ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนแทนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอให้พระองค์ทรงเข้ามาในชีวิต ของข้าพเจ้า และขอทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนที่พระองค์มีพระประสงค์ให้ข้าพเจ้าเป็นด้วยเถิด อาเมน”
ตอนนี้ ถ้าคุณได้กล่าวคำอธิษฐานนั้นแล้ว คุณก็ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณจะสามารถมี ได้แล้ว นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า และมันไม่ได้หยุดแค่คำอธิษฐานเท่านั้น ความสัมพันธ์กับพระเจ้า นั้นเป็นกระบวนการ มันหมายถึงการไว้วางใจในพระเจ้าทุกๆวัน พยายามที่จะทำสิ่งที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่คุณต้องการจะทำ หรือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีเท่านั้น แต่ทำสิ่งที่คุณคิดว่าพระเจ้าทรงต้องการที่จะให้คุณทำ ผมเคยได้ยินคนบางคนพูดกับผมว่า “เรื่องคริสเตียนได้ผลในชีวิตของคุณซึ่งนั่นก็ดีแล้ว แล้วศาสนาอื่นล่ะ มันก็น่าจะได้ผลกับคนอื่นๆเหมือนกันนี่?” นั่นเป็นคำถามที่ดีทีเดียว ผมเชื่อว่าพระเจ้าประทานหนทางเดียวเท่านั้นสำหรับเราที่จะเข้ามาหาพระองค์ คือโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ถึงแม้ว่าในศาสนาอื่นจะมีองค์ประกอบ ของความจริงอยู่ก็ตาม ความจริงส่วนใหญ่ก็คือหลักเกณฑ์ทางศีลธรรม เช่น “ทำสิ่งนี้เจ็ดครั้งต่อวันแล้วคุณจะ ได้เข้าใกล้พระเจ้า” แต่ถ้าคุณต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เข้าถึงพระเจ้า คุณจะต้องทำมันมากเท่าไหร่กันเล่า ถึงจะเพียงพอ? คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณได้มาถึงจุดนั้นแล้ว?
ผมคิดว่านี่คือความจริงในเรื่องของความเชื่อคริสเตียน คือในพระคุณของพระเจ้า การที่เรารู้ว่าเราไม่สามารถ ที่จะมาถึงความสมบูรณ์แบบของพระเจ้าได้แน่ๆ เราจึงสามารถที่จะพึ่งพาในการอภัยโทษบาปของพระเจ้าได้ เป้าหมายคือเพื่อจะเดินในหนทางของพระองค์แม้ว่าเราจะพลาดพลั้งหลายครั้งหลายหนก็ตามที คุณทำสิ่งที่ผิดพลาด แต่คุณยังคงมุ่งหน้าต่อไป มีความพยายามต่อไปเพื่อให้ถึงเป้าหมาย โดยการไว้วางใจในพระคุณของพระเจ้า คุณอธิษฐาน คุณอ่านพระคัมภีร์ คุณพบว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากคุณ วันหนึ่งคุณจะไปถึงซึ่งสันติสุข มันอาจจะไม่ถึงวันนั้นจนกว่าคุณจะได้ไปที่สวรรค์ แต่เมื่อถึงตอนนั้นสันติสุขนั้นก็ตลอดกาล
ถ้าคุณกำลังรับมืออยู่กับอาการติดเชื้อHIV โรคเลือดออกไม่หยุด หรือโรคตับอักเสบชนิด C เหมือนกับสตีฟ หรือคุณอาจจะกำลังเผชิญอยู่กับปัญหาต่างๆในชีวิต และคุณต้องการจะอ่านคำอธิบายอื่นๆเกี่ยวกับสิ่งที่ สตีฟได้พยายามที่จะเล่าให้คุณฟังแล้วละก็ โปรดคลิกไปที่ รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว
► | ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้) |
► | ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ |
► | ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น |
สตีฟ ซอว์เยอร์ เสียชีวิตลงเนื่องจากตับวาย ผลของการติดเชื้อตับอักเสบชนิดC ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ1999 ขอให้เรื่องราวจากชีวิตจริงของเขา หนุนจิตใจให้คุณที่จะต้อนรับพระเยซูดังเช่นที่สตีฟได้ทำ ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา สตีฟได้พูดว่าเขาอยากที่จะพูดกับนักศึกษาอีก “แค่อีกหนึ่งมหาวิทยาลัย” ทำไมน่ะหรือ? “ก็เพราะว่า ถ้าหากโรคพวกนี้ที่กำลังฆ่าผมอยู่ในขณะนี้ จะทำให้ใครสักคนหนึ่งได้เข้าใจว่า พวกเขาสามารถที่จะมีความสัมพันธ์กับพระคริสต์ได้ ผมก็ว่ามันคุ้มจริงๆ เมื่อมองในแง่ของนิรันดร์กาล การมีความสัมพันธ์กับ พระคริสต์เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีความสำคัญ”
เราสามารถที่จะมีชีวิตนิรันดร์ได้โดยการรับพระเยซู การทำความดีไม่ได้ทำให้เราไปสวรรค์ได้ ชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญที่ให้ฟรีแก่ทุกคนที่เชื่อศรัทธาในพระเยซู พระคัมภีร์กล่าวดังต่อไปนี้ว่า ...
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น3:16)
“เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลง บนท่านซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน” (อิสยาห์53:6)
“เรา(พระเยซู)บอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” (ยอห์น5:24)
“โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ มัจจุราชเอ๋ย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน” (1โครินธ์15:55)
“และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า ท่านมีชีวิตนิรันดร์” (1ยอห์น5:11-13)
ภาพถ่าย: Guy Gerrard, Tom Mills © Worldwide Challenge