×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
ปริศนาชีวิต

แหล่งของชีวิตที่เปลี่ยนแปลง

คุณเคยพบตัวเองพูดว่า “ฉันเกลียดชีวิตของฉัน” บ้างไหม? คนๆหนึ่งจะมีประสบการณ์กับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางบวก ได้อย่างไร?

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

เขียนโดย จอช แมคโดเวลล์

ผมต้องการอย่างมากที่จะมีความสุข ผมต้องการที่จะเป็นคนหนึ่ง ที่มีความสุขมากที่สุดในโลกนี้ และผมก็ยังต้องการที่จะมีชีวิตที่มี ความหมายด้วย ผมมองหาคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ คือ

  • ผมเป็นใคร?
  • ผมมาอยู่ในโลกใบนี้ทำไม?
  • ผมกำลังจะไปไหน?

มากยิ่งกว่านั้นอีก ก็คือ ผมยังต้องการอย่างมากที่จะเป็นอิสระ ผมต้องการเป็นคนที่เสรีภาพมากที่สุดในโลกใบนี้ เสรีภาพสำหรับผมแล้ว ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถ ทำทุกสิ่งที่ผมอยากจะทำ ได้ แบบนั้นใครๆก็ทำได้ คำว่าเสรีภาพสำหรับผมแล้ว หมายความว่า การมีอำนาจในการทำสิ่งที่เรารู้ว่าเราควรจะทำ คนส่วนใหญ่รู้ว่า พวกเขาควรจะทำอะไร แต่ พวกเขาไม่มีอำนาจที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้ ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นมองหาคำตอบ

คนเราจะหาความเปลี่ยนแปลงในทางบวกได้จากที่ไหน?

ดูเหมือนว่าทุกๆคนจะมีบางสิ่งที่เรียกว่าศาสนายึดถืออยู่ ดังนั้นผมจึงทำสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วและไปที่คริสตจักร ผมคงจะไปในคริสตจักรที่ไม่ถูกต้องเสียแล้วแน่ๆ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกแย่ลงเท่านั้น ผมไปทั้ง ตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนกลางคืน แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมเป็นคนที่เน้นสิ่งที่เกิดประโยชน์จริงค่อนข้างมาก และเมื่อลองสิ่งใดแล้วไม่เกิดผล ผมก็จะเลิกทำมัน ดังนั้นผมเลยไม่สนใจเรื่องศาสนาอีก

ผมก็เริ่มคิดว่าการมีชื่อเสียง อาจจะเป็นคำตอบก็ได้ ผมคิดว่า การเป็นผู้นำ การยอมรับงานรับผิดชอบต่างๆ การทุ่มเทที่จะทำมัน และการที่เป็นที่นิยมชมชอบ อาจจะเป็นหนทางนั้น ที่มหาวิทยาลัยที่ผมเข้าศึกษาอยู่ พวกผู้นำนักศึกษา มีอำนาจที่จะใช้เงินทุนและมีอิทธิพลเหนือนักศึกษาคนอื่นๆได้ ดังนั้นผมจึงลงสมัครรับเลือกตั้งประธานรุ่นของปีหนึ่ง และก็ชนะการเลือกตั้ง มันเยี่ยมมากที่ทุกคนรู้จักผม ได้ตัดสินใจเรื่องต่างๆ และใช้เงินทุนของมหาวิทยาลัยในการนำวิทยากรคนใดก็ได้ที่ผมต้องการเข้ามา มันเยี่ยมยอดทีเดียว แต่หลังจากนั้นมันก็หมดความตื่นเต้นเหมือนกับสิ่งอื่นๆที่ผมเคยลองทำมา ผมตื่นขึ้นในเช้าวันจันทร์ (ปกติก็จะตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวเพราะการเมาค้างคืนก่อน) และทัศนคติของผมก็จะเป็นแบบนี้คือ “เฮ้อเอาอีกแล้ว อีกห้าวัน” ผมอดทนกับวันจันทร์จนถึงวันศุกร์ ความสุขของผมเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรในสามคืนต่อสัปดาห์ คือวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ และวงจรของความเลวร้ายก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

แสวงหาชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ในทางบวก

ผมคาดว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยต่างๆในประเทศนี้ มีความจริงใจที่จะพยายามค้นหาความหมาย ความจริงและเป้าหมายในชีวิต มากกว่าผม

ในระหว่างนั้น ผมได้สังเกตเห็นคนกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาแปดคน และเจ้าหน้าที่ของคณะอีกสองคน มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาที่แตกต่างออกไป พวกเขาดูเหมือนจะรู้ว่า ทำไมพวกเขาจึงเชื่อสิ่งที่เขาเชื่อถืออยู่ พวกเขายังดูเหมือนรู้ว่าเขากำลังจะไปที่ไหน

กลุ่มคนที่ผมเริ่มสังเกตเห็น ไม่ใช่เพียงแค่พูดเกี่ยวกับเรื่องความรักเท่านั้น แต่พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ดูเหมือนพวกเขาจะดำเนินชีวิตอยู่เหนือสถานการณ์ต่างๆของชีวิตในมหาวิทยาลัย ในขณะที่คนอื่นๆดูเหมือนจะจมอยู่ใต้สิ่งเหล่านั้น พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในสถานะที่มีความพึงพอใจและสงบสุขในชีวิตซึ่งไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยสถานการณ์ใดๆ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าเขามีแหล่งของความชื่นชมยินดีที่มั่นคงจากภายใน พวกเขามีความสุขอย่างมาก เขามีบางอย่างที่ผมไม่มี

“คำว่าเสรีภาพสำหรับผมแล้ว หมายความว่า การมีอำนาจในการทำสิ่งที่เรารู้ว่า เราควรจะทำ คนส่วนใหญ่รู้ว่า พวกเขาควรจะทำอะไร แต่พวกเขา ไม่มีอำนาจที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้”

ดังเช่นนักศึกษาทั่วไป เมื่อใครก็ตามมีบางอย่างที่ผมไม่มี ผมก็อยากจะได้มัน ดังนั้นผมจึงทำความรู้จักกับพวกที่ น่าประหลาดใจเหล่านั้น สองสัปดาห์หลังจากการตัดสินใจ เรานั่งอยู่รอบๆโต๊ะที่สโมสร นักศึกษา มีนักศึกษาหกคนและเจ้าหน้าที่ของคณะอีกสองคน การสนทนา ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าก็เริ่มขึ้น

ถามเกี่ยวกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ในทางบวก

พวกเขากำลังสร้างความรำคาญใจให้ผม ดังนั้นในที่สุดผมก็มองข้ามไปที่นักศึกษาหญิงคนหนึ่ง เธอผู้นั้นเป็นคนสวย (ผมเคยคิดว่าพวกคริสเตียนทั้งหลายนั้นน่าเกลียด) และผมก็เอนเก้าอี้ของผมไปข้างหลัง (ผมไม่ต้องการที่จะให้คนอื่นๆคิดว่าผมสนใจ ) และผมพูดว่า “บอกผมหน่อยซิว่า อะไรที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ? ทำไมชีวิตของพวกคุณจึงแตกต่างมากกับคนอื่นๆในมหาวิทยาลัย?

หญิงสาวคนนั้นคงจะมีจิตสำนึกแรงกล้ามาก เธอมองจ้องตาของผมตรงๆและพูดคำสองสามคำที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน ว่ามันคือหนทางแก้ไขสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย คำๆนั้นคือ “พระเยซูคริสต์”

ผมพูดว่า “โอ เห็นแก่พระเจ้าเถอะนะ อย่าเอาขยะมาให้ผม ผมละเหลืออดแล้วกับศาสนา ผมพอแล้วกับคริสตจักร ผมไม่เอาแล้วกับพระคัมภีร์ อย่าเอาขยะเกี่ยวกับเรื่องศาสนามาโยนให้ผมเลย”

เธอก็โต้กลับมาว่า “เฮ้ ฉันไม่ได้พูดว่าศาสนา ฉันพูดว่า พระเยซูคริสต์” เธอชี้ให้ผมเห็นบางสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนนั่นก็คือ คริสเตียนไม่ใช่ศาสนา ศาสนาก็คือเมื่อมนุษย์พยายามที่จะกระทำหนทางเพื่อไปหาพระเจ้าโดยทางการกระทำดี แต่คริสเตียนก็คือการที่พระเจ้าทรงมาหาเรา มนุษย์ทั้งชายและหญิง โดยทางของพระเยซูคริสต์เพื่อที่จะเสนอความสัมพันธ์กับพระองค์เองให้แก่เรา

ความเข้าใจผิดในเรื่องของคริสเตียนที่พบในมหาวิทยาลัย อาจจะมากกว่าที่พบในที่อื่นๆในโลกก็เป็นไปได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินผู้ช่วยอาจารย์ท่านหนึ่งพูดในงานการสัมมนาของบัณทิต ท่านพูดอย่างนี้ว่า “ใครก็ตามที่เดินเข้าไปในคริสตจักร คนๆนั้นก็จะกลายเป็นคริสเตียน” ผมได้ตอบท่านว่า “ถ้าอย่างนั้น การเดินเข้าไปในโรงเก็บรถ คุณก็กลายเป็นรถอย่างนั้นซิ?” ผมได้รับการบอกกล่าวมาว่าคริสเตียนคือ คนที่มีความเชื่อศรัทธาในพระคริสต์อย่างจริงจัง

เมื่อพิจารณาเรื่องคริสเตียน เพื่อนใหม่ของผมได้ท้าทายทางด้านการคิดหาเหตุผลของผม ด้วยการตรวจสอบชีวิตของพระเยซู ผมได้พบว่า ท่านพระพุทธเจ้า ท่านมูฮัมหมัดและท่านขงจื๊อ ไม่เคยกล่าวอ้างว่า ตนเองเป็นพระเจ้า แต่พระเยซูทรงกล่าวอ้างเช่นนั้น เพื่อนของผมได้ขอให้ผมดูที่หลักฐานเกี่ยวกับการเป็นพระเจ้า ของพระเยซูด้วย จากหลักฐานเหล่านั้นเอง ทำให้พวกเขาได้ประจักษ์แจ้งในใจว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ในรูปกายของมนุษย์ผู้ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนความบาปของมนุษยชาติ และที่พระองค์ทรงถูกฝังไว้ และทรงเป็นขึ้นในสามวันต่อมา และการที่พระองค์ทรงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนในทุกวันนี้ได้

ผมคิดว่าสิ่งนี้ช่างน่าขบขันสิ้นดี ในความเป็นจริง ผมคิดว่าพวกคริสเตียนส่วนมากคือพวกโง่บรมโง่ที่มีชีวิตอยู่ ผมเคยพบมาบ้าง ผมเคยที่จะรอให้พวกคริสเตียนพูดขึ้นมาในชั้นเรียน เพื่อที่ผมจะได้ฉีกเขาหรือเป็นชิ้นๆ และ ชกพวกอาจารย์ให้หงายเก๋งไปเลย ผมจินตนาการว่า ถ้าพวกคริสเตียนมีเซลสมองแล้วละก็ มันก็จะตายเนื่องจากความเปลี่ยวเหงา ผมไม่รู้อะไรที่ดีกว่านี้อีก

แต่คนเหล่านี้ท้าทายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดผมก็ยอมรับการท้าทายของพวกเขา ผมทำมันเพราะความหยิ่งที่จะได้ปฏิเสธพวกเขา ด้วยความคิดที่ว่า พวกเขาไม่มีข้อเท็จจริง ผมสรุปเอาเองว่า มันไม่มีหลักฐานอะไรที่ใครจะสามารถประเมินความถูกต้องของมันได้

“เมื่อพิจารณาเรื่องคริสเตียน เพื่อนใหม่ของผมได้ท้าทาย ทางด้านการคิดหาเหตุผลของผม ด้วยการตรวจสอบชีวิตของพระเยซู”

หลังจากทำการศึกษามาหลายเดือน ความคิดของผมมาถึงข้อสรุป ที่ว่า พระเยซูคริสต์จะต้องเป็นผู้ที่พระองค์ทรงกล่าวอ้างว่าทรงเป็น ความคิดเช่นนั้นนำมาซึ่งปัญหาทีเดียว ความคิดของผมบอกผมว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความจริง แต่ความตั้งใจของผมกลับดึงผมไปในอีกทิศทางหนึ่ง

ผมค้นพบว่าการมาเป็นคริสเตียนเป็นเหมือนการทำให้การนับถือตัวตนของเรานั้นแตกกระจายไป พระเยซูคริสต์ทรงท้าทายความตั้งใจของผมโดยตรงที่จะไว้วางใจในพระองค์ ขอให้ผมถอดความคำตรัสของพระองค์ให้คุณฟัง “ดูซิ เราได้มายืนอยู่ที่ประตูและเราก็ได้เคาะประตูอยู่ไม่ได้หยุดหย่อน ถ้าใครได้ยินเสียงของเราที่เรียกเขา และเปิดประตู เราจะเข้ามา” (วิวรณ์3:20) ผมไม่สนใจว่าพระเยซูทรงเดินบนน้ำหรือเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นจริงหรือไม่ ผมไม่ต้องการพวกชอบมางานสังสรรค์รื่นเริง ผมไม่สามารถที่จะคิดถึงการทำลายบรรยากาศดีๆที่รวดเร็วกว่านี้ ความคิดของผมกำลังบอกผมว่าคริสเตียนเป็นเรื่องจริงและความตั้งใจของผมคือกำลังวิ่งหนีมัน

มีการรับรู้มากขึ้นว่า ผมเกลียดชีวิตของผม

เมื่อใดก็ตามที่ผมอยู่ใกล้ๆพวกคริสเตียนที่กระตือรือร้นเหล่านั้น ความขัดแย้งดังกล่าวก็จะเริ่มต้นขึ้น ถ้าหากคุณอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความสุขขณะเมื่อคุณรู้สึกแย่ๆ คุณจะเข้าใจว่าคนเหล่านี้จะสร้างความรำคาญใจให้คุณอย่างไร

พวกเขาจะมีความสุขมากและผมก็จะรู้สึกแย่มากๆ จนทำให้ผมต้องลุกออกและวิ่งหนีไปจากสโมสรนักศึกษาเลยทีเดียว มันมาถึงจุดที่ว่าผมจะเข้านอนเวลาสี่ทุ่มแล้วผมไม่สามารถที่จะหลับได้จนถึงตีสี่ในตอนเช้านั่น เชียวละ ผมรู้ว่าผมต้องเอาความคิดนี้ออกจากสมองของผมก่อนที่ผมจะเป็นบ้าไปเสียก่อน ในที่สุดสมองและหัวใจของผมก็เชื่อมโยงกัน ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ 1959 เวลา 20.30 น. ในระหว่างศึกษาอยู่ปีที่สองในมหาวิทยาลัย ผมได้มาเป็นคริสเตียน

คืนนั้นผมได้อธิษฐานสี่สิ่งด้วยกัน เพื่อที่จะสถาปนาความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ซึ่งตั้งแต่นั้นมาสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตของผม สิ่งแรกผมพูดว่า “ข้าแต่พระเยซูคริสต์เจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อข้าพเจ้า” สิ่งที่สองผมพูดว่า “ข้าพเจ้าสารภาพต่อพระองค์ถึงสิ่งต่างๆในชีวิตของข้าพเจ้าซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ และทูลขอพระองค์ที่จะอภัยโทษสิ่งเหล่านั้นและทรงชำระข้าพเจ้า” สิ่งที่สาม ผมพูดว่า “ในตอนนี้ ตามแบบที่ข้าพเจ้าทราบว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ข้าพเจ้าขอเปิดประตูหัวใจและชีวิตและไว้วางใจให้พระองค์เป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงครอบครองชีวิตของข้าพเจ้า และเปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าจากภายในสู่ภายนอก ขอทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นไปตามแบบที่พระองค์ทรงสร้างให้ข้าพเจ้าเป็น” สิ่งสุดท้ายที่ผมอธิษฐานคือ “ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าโดยความเชื่อ” มันเป็นความเชื่อที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไม่รู้ แต่ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพระคำของพระเจ้า

ผมแน่ใจว่า ผมเคยได้ยินคนที่เคร่งศาสนาหลายๆคน พูดเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวที่ชัดเจนน่าตื่นเต้น แต่สำหรับผมแล้ว หลังจากที่ได้อธิษฐาน ไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น และผมก็ยังคงไม่ได้มีปีกงอกออกมา ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่ผมได้ตัดสินใจเช่นนั้นแล้ว ผมรู้สึกแย่ ผมรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังจะอาเจียน ผมคิดว่า “แย่แล้ว ผมจะถูกดูดเข้าไปหาอะไรล่ะคราวนี้?” ผมรู้สึกจริงๆว่า ผมตกขอบไปแล้ว (และผมก็แน่ใจว่าบางคนก็คิดว่าผมเป็นเช่นนั้น)

พระเจ้าและชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ในทางบวก

แต่ภายในเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปีครึ่งผมได้พบว่า ผมไม่ได้ตกขอบไป ชีวิตของผมได้รับการเปลี่ยนแปลง ครั้งหนึ่ง ผมร่วมการโต้วาทีกับหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมิดเวสเทิร์น และผมพูดว่าชีวิตของผมได้รับการเปลี่ยนแปลง ท่านผู้นั้นขัดจังหวะผมขึ้นด้วยคำพูดที่ว่า “คุณแมคโดเวลล์ คุณกำลังพยายามจะบอกกับเราว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณจริงๆ ในศตวรรษที่ 20 นี่นะหรือ? ในด้านไหนบ้างล่ะ?” หลังจากนั้นอีก 45 นาที ท่านพูดว่า “โอเค นั่นเพียงพอแล้ว” ขอให้ผมบอกคุณสองสามอย่างที่ผมได้บอกกับท่านผู้นั้นและผู้ฟังในวันนั้น

“แต่ภายในเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปีครึ่ง ผมได้พบว่า ผมไม่ได้ตกขอบไป ชีวิตของผม ได้รับ การเปลี่ยนแปลง”

ด้านหนึ่งที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงผมก็คือ การไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ผมต้องมีอะไรทำอยู่เสมอ ผมจะเดินไปภายในมหาวิทยาลัย และความคิดของผมเหมือนกับลมหมุนของความขัดแย้งที่ หมุนไปหมุนมา ผมจะนั่งลงเพื่อที่จะศึกษาตำรา แต่ผมไม่สามารถ ทำได้ สองสามเดือนหลังจากที่ผมได้ตัดสินใจต้อนรับพระคริสต์ สันติสุขทางความคิดจิตใจบางอย่างเริ่มพัฒนาขึ้น คุณอย่าเพิ่ง เข้าใจผิดว่าผมหมายถึงความขัดแย้งที่หายไป สิ่งที่ผมพบใน ความสัมพันธ์กับพระเยซูนี้ ไม่ใช่การหายไปของความขัดแย้ง แต่เป็นความสามารถที่จะจัดการกับมันได้ ผมจะไม่ยอมแลกสิ่งนี้กับอะไรทั้งนั้นในโลกนี้

อีกด้านที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงคือ อารมณ์ร้ายของผม ผมเคยระเบิดอารมณ์ใส่บางคนเพียงแค่ที่เขามองผมแบบล้อเลียน ผมยังคงมีแผลเป็นจากการที่พยายามจะฆ่าผู้ชายคนหนึ่งเมื่อผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง อารมณ์ร้อนของผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม จนผมไม่เคยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงมัน ผมมาถึงจุดวิกฤตของการระเบิดอารมณ์ของผมแต่ผมก็พบว่ามันหายไปแล้ว ใน 14 ปี ผมระเบิดอารมณ์เพียงแค่ครั้งเดียว (เมื่อผมได้ระเบิดมันออกไปครั้งนั้นผมต้องใช้เวลาในการแก้ไขมันถึงหกปีเลยทีเดียว)

การเปลี่ยนแปลงในทางบวกบนความเกลียดชัง

มีด้านอื่นอีกที่ผมไม่ค่อยภูมิใจกับมันสักเท่าไหร่ แต่ผมจะกล่าวถึงมันเพราะว่ามีคนหลายคนที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวกันในชีวิตของพวกเขา และผมก็พบแหล่งของการเปลี่ยนแปลง นั่นคือในความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ ด้านนั้นก็คือความเกลียดชัง ผมมีความเกลียดชังมากมายในชีวิตของผม ผมไม่ได้แสดงมันออกมาภายนอก แต่มันเป็นการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ภายใน ผมเกลียดคนบางคน บางสิ่งบางอย่าง กับเรื่องบางเรื่องด้วย

แต่ ผมเกลียดชายคนหนึ่งมากกว่าคนอื่นใดในโลกนี้ เขาคือคุณพ่อของผมเอง ผมเกลียดข้างในของเขา สำหรับผมแล้ว เขาคือขี้เมาประจำเมือง ทุกคนรู้ว่า คุณพ่อของผมเป็นคนขี้เหล้า เพื่อนๆของผมจะพูดคุยตลกกันเกี่ยวกับคุณพ่อของผมที่เมาสะเปะสะปะอยู่ในเมือง พวกเขาไม่คิดว่ามันจะทำให้ผมรำคาญใจ ผมก็เหมือนกับคนอื่นๆ ก็คือ หัวเราะอยู่ภายนอก แต่ขอให้ผมบอกกับคุณเถิดว่า ผมร้องไห้อยู่ภายใน มีบางครั้งที่ผมจะออกไปที่โรงนาเพื่อจะพบกับคุณแม่ของผมที่ถูกทุบตีอย่างรุนแรงจนท่านแทบจะลุกขึ้นไม่ไหว นอนอยู่ในกองปุ๋ยข้างหลังที่เลี้ยงวัว เมื่อครอบครัวของเรามีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้าน ผมจะเอาคุณพ่อออกไปและมัดเขาไว้ให้อยู่ในโรงนา และจอดรถไว้หลังฉางเก็บอาหารสัตว์ เราจะบอกกับเพื่อนที่มาว่าคุณพ่อออกไปธุระที่ไหนสักแห่ง ผมไม่คิดว่าจะมีใครที่จะเกลียดคนอื่นได้เท่ากับที่ผมเกลียดคุณพ่อของผม

หลังจากที่ผมตัดสินใจเพื่อพระคริสต์ในครั้งนั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงเข้ามาในชีวิตของผมและความรักของพระองค์นั้นเข้มแข็งยิ่งนัก คือพระองค์ได้ทรงเอาความเกลียดชังออกไปและกลับให้มันเป็นอีกอย่าง ผมสามารถที่จะมองคุณพ่อของผมอย่างตรงๆตาสบตา และบอกกับท่านว่า “พ่อครับ ผมรักพ่อ” ได้ และผมก็หมายความตามนั้นด้วย หลังจากที่ผมได้ทำบางสิ่งบางอย่างต่อคุณพ่อ สิ่งเหล่านั้นเริ่มทำให้ท่านสั่นคลอน

“หลังจากที่ผมตัดสินใจเพื่อ พระคริสต์ในครั้งนั้นแล้ว พระองค์ได้ทรงเข้ามาในชีวิตของผม และความรักของพระองค์นั้นเข้มแข็ง ยิ่งนัก คือพระองค์ได้ทรงเอาความ เกลียดชังออกไป และกลับให้มัน เป็นอีกอย่าง”

เมื่อผมโอนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชน ผมประสบอุบัติเหตุ ทางรถยนต์อย่างรุนแรง ผมถูกนำตัวมาส่งที่บ้านด้วยสภาพการ ดามที่คอ ผมไม่เคยลืมเมื่อคุณพ่อเข้ามาในห้องของผม ท่านถาม ผมว่า “ลูกรัก ลูกรักพ่อที่เป็นแบบนี้ได้ยังไง?” ผมพูดว่า “พ่อครับ เมื่อหกเดือนก่อนผมไม่ยอมรับพ่อ ”หลังจากนั้นผมเล่าสรุปเรื่อง การมาเกี่ยวข้องกับพระคริสต์ของผมให้คุณพ่อฟัง “พ่อครับ ผมได้ ให้พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตของผม ผมไม่สามารถจะอธิบายให้ ฟังอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ผลของการมีความสัมพันธ์นั้น ผมได้พบ ความสามารถที่จะรักและยอมรับ ไม่ใช่แค่พ่อเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ในแบบที่เขาเป็นอีกด้วย”

สี่สิบห้านาทีให้หลัง ความดีใจอันใหญ่หลวงในชีวิตของผมได้บังเกิดขึ้น ใครบางคนในครอบครัวของผมเอง คนบางคนที่รู้จักผมดีมากๆ คนซึ่งผมไม่สามารถปิดบังอะไรจากเขาได้ ท่านพูดกับผมว่า “ลูกรัก ถ้าหากพระเจ้าสามารถทำการในชีวิตของพ่อเหมือนที่พ่อได้เห็นเกิดขึ้นในชีวิตของลูก พ่อก็อยากจะให้โอกาสกับพระองค์” เดี๋ยวนั้นเองที่คุณพ่อของผมได้อธิษฐานกับผมและไว้ววางใจพระคริสต์ในการอภัยโทษบาปทั้งหลายของท่าน

ปกติความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องใช้เวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือนหรือแม้แต่หลายปีก็เป็นได้ แต่ชีวิตของคุณพ่อของผมเปลี่ยนแปลงงทันทีกับตาของผมเอง มันเหมือนกับมีใครบางคนที่เอื้อมมือลงมาและเปิดสวิทช์ไฟยังไงยังงั้น ผมไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนั้นก่อนหน้า หรือหลังจากนั้นเลย คุณพ่อของผมแตะวิสกี้เพียงแค่ครั้งเดียวหลังจากนั้น ท่านนำมันไปได้แค่ริมฝีปากเท่านั้นและเท่านั้นจริงๆ ผมได้มาถึงข้อสรุปหนึ่งก็คือ ความสัมพันธ์กับพระคริสต์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคน

ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงในทางบวก

คุณสามารถที่จะหัวเราะเยาะเรื่องของคริสเตียน คุณสามารถจะเยาะเย้ยหรือล้อเลียนมัน แต่มันได้ผลจริงๆ มันเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ถ้าคุณได้ไว้วางใจในพระคริสต์ จงเริ่มมองที่ทัศนคติและการกระทำของคุณ เพราะพระเยซูคริสต์ทรงมีภารกิจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน

แต่เรื่องของคริสเตียนไม่ใช่สิ่งที่คุณจะยัดเยียดให้ใครได้ สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการบอกเล่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ให้คุณฟังเท่านั้น หลังจากนั้นแล้ว เป็นเรื่องการตัดสินใจของคุณ

บางทีคำอธิษฐานที่ผมได้อธิษฐานไปแล้วอาจจะช่วยคุณได้ มันเป็นแบบนี้ “พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องการพระองค์จริงๆ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อข้าพเจ้า ขอทรงอภัยโทษให้กับข้าพเจ้าและทรงชำระข้าพเจ้า ณ เวลา นี้ ข้าพเจ้าขอไว้วางใจให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงทำให้ข้าพเจ้าเป็นบุคคลในแบบที่พระองค์ทรงสร้างให้ข้าพเจ้าเป็น ในพระนามของพระคริสต์ อาเมน”

 ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้)
 ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้
 ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

จอช แมคโดเวลล์ เป็นนักพูดที่มีคนรู้จักในหลายประเทศ เป็นนักเขียน และตัวแทนของแคมพัสครูเสดฟอร์ไครสต์ ที่เดินทางไปทั่วโลก ท่านเขียนหนังสือมากกว่าห้าสิบเล่ม รวมทั้งหนังสือคลาสสิคชื่อ More than A Carpenter (เป็นมากกว่า แค่ช่างไม้) และ Evidence That Demands A Verdicts (หลักฐานที่ต้องการคำตัดสิน)


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More