โดย มาริลิน แอดัมสัน
คุณอาจเป็นคนหนึ่งใช่ไหม ที่อยากจะให้ใครสักคนมาแสดงหลักฐาน เกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพระเจ้าสักครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่มีการกดดัน หรือใช้คำพูดที่ว่า “คุณจำเป็นต้องเชื่อ” เอาละ นี่คือความพยายาม ที่จะให้เหตุผลบางอย่างซึ่งจะบอกว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงๆ
แต่ก่อนอื่นคุณต้องตระหนักว่า ถ้าใครก็ตามที่คัดค้านความเชื่อที่ว่า มีความเป็นไปได้ว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆแล้วละก็ เมื่อนั้นหลักฐานต่างๆ ที่ถูกเสนอเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ ก็จะมีผู้ที่หาเหตุผลอื่นๆเพื่อมาลบล้างหลักฐานต่างๆนั้นเสีย มันเหมือนกับผู้ปฏิเสธ ที่จะเชื่อว่า มีคนไปเดินบนดวงจันทร์มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนผู้นั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายของนักบินอวกาศที่ได้เดินบนดวงจันทร์ การสัมภาษณ์นักบินอวกาศ หรือ ก้อนหินที่เก็บมาจากดวงจันทร์ก็ดี… หลักฐานทุกอย่างไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับคน ผู้นั้น เพราะเขาได้สรุปเอาเองเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีใครสามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้
เมื่อมาถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการดำรงอยู่ของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ว่า มีบางคนที่เห็นหลักฐานอย่างพอเพียงแล้ว แต่เขาได้บีบคั้นความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า1 ในทางกลับกัน สำหรับผู้คนที่ต้องการรู้จักพระเจ้า หากพระองค์นั้นมีจริง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าจะแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจ”2 ก่อนที่คุณจะเริ่มมองหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้า ให้ถามตัวคุณเองว่า “ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง ฉันอยากจะรู้จักกับพระองค์ไหม”? ที่นี้ให้เรามาดูเหตุผลต่างๆที่ว่ากัน
ตัวอย่างเกี่ยวกับการออกแบบของพระเจ้ามีอยู่มากมาย อาจจะไม่รู้จบด้วยซ้ำไป แต่นี่เป็นพียงบางส่วนเท่านั้น
ดาวโลก…ขนาดของมันสมบูรณ์เหมาะเจาะ ขนาดของโลกกับแรงโน้มถ่วงที่สอดคล้องกัน ดึงดูดชั้นบรรยากาศบางๆ รอบๆ ซึ่งประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ ชั้นบรรยากาศที่ว่านี้มีระยะทางวัดจากเปลือกโลกออกไปแค่ ประมาณ 50 ไมล์เท่านั้น ถ้าหากขนาดของโลกเล็กกว่าที่เป็นอยู่ ชั้นบรรยากาศดังกล่าว ก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นเหมือนกับดาวพุธ หรือถ้าโลกมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ ชั้นบรรยากาศก็จะประกอบไปด้วยก๊าซไฮโดรเจนอิสระ ซึ่งเหมือนกับดาวพฤหัสบดี3 ดาวโลกเป็นพื้นพิภพเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เราทราบ ว่ามีชั้นบรรยากาศซึ่งมีการผสมผสานอย่างเหมาะสมของก๊าซต่างๆ ที่ช่วยให้ พืช สัตว์และมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
ดาวโลก ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมกับดวงอาทิตย์ อุณหภูมิที่เราอยู่กันสามารถเปลี่ยนแปลงประมาณแบบคร่าวๆได้ -30 ถึง 120 องศาฟาเรนไฮด์ ถ้าโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์แม้สักนิดเดียวเราทุกคนก็จะหนาวตาย หรือถ้าเข้าใกล้อีกสักนิดหนึ่ง เราก็จะถูกแผดเผา แม้แค่การเปลี่ยนตำแหน่งของโลกจากดวงอาทิตย์เพียงน้อยนิดเท่านั้น ชีวิตบนโลกนี้ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ดาวโลกยังคงรักษาระยะห่างของมันจากดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์ถึงแม้ว่ามันจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วเกือบ 67,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ตาม และนอกจากนี้มันยังหมุนด้วยแกนของมันเอง ซึ่งทำให้พื้นผิวของโลกทั้งหมดได้รับความอบอุ่นและความเย็นอย่างเหมาะสมทุกๆวัน
และดวงจันทร์ของเราก็มีขนาดและระยะห่างที่เหมาะสมจากโลกสำหรับแรงดึงดูดของมัน ดวงจันทร์ได้สร้างกระแสน้ำขึ้น น้ำลง และการไหลเวียนที่สำคัญของมหาสมุทร เพื่อที่น้ำในมหาสมุทรจะไม่หยุดกองนิ่งอยู่ และที่มหาสมุทรขนาดใหญ่ของเราจะถูกควบคุมเอาไว้ไม่ให้มันเอ่อล้นข้ามทวีปได้4
น้ำ…ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตสักชนิดเดียวที่จะอยู่รอดได้โดยปราศจากมัน พืช สัตว์ และมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ในร่างกาย (ประมาณสองในสามของร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำ) คุณจะได้เห็นว่าทำไมคุณลักษณะของน้ำจึงเหมาะสมอย่างไม่มีสิ่งใดเหมือน ต่อสิ่งมีชีวิต
น้ำมีจุดเดือดและจุดเยือกแข็งที่ไม่ธรรมดา น้ำทำให้เราสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบขึ้นๆลงๆ ได้ ในขณะที่อุณหภูมิของร่างกายยังคงที่อยู่ที่ 98.6 องศาฟาเรนไฮด์ (37 องศาเซลเซียส)
น้ำเป็นตัวทำละลายที่เป็นสากล คุณสมบัติเช่นนี้ของน้ำหมายถึงว่า สารเคมี แร่ธาตุ หรือสารอาหารต่างๆสามารถถูกนำไปสู่ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายได้และสามารถเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เล็กที่สุดได้ด้วย5
น้ำยังมีสภาพที่เป็นกลางทางเคมี มันจึงไม่เปลี่ยนแปลงสสาร ที่มันนำไปสู่ร่างกาย มันจึงสามารถนำอาหาร ยา แร่ธาตุต่างๆ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้
น้ำมีแรงตึงผิวแบบพิเศษ น้ำในพืชจึงสามารถที่จะไหลย้อนขึ้นต้านแรงดึงดูดของโลกได้ เพื่อที่จะนำน้ำที่ให้ชีวิตและสารอาหารไปสู่ยอดของต้นไม้ แม้แต่ต้นไม้ที่สูงที่สุดก็ตาม
น้ำกลายเป็นน้ำแข็งจากด้านบนสู่ด้านล่างแล้วก็ลอยไป ดังนั้นปลาจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงฤดูหนาว
น้ำ ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ของโลกนี้อยู่ในมหาสมุทร แต่บนโลกเรานี้มีระบบที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อที่จะนำเกลือออกจากน้ำ และก็ส่งน้ำนั้นไปทั่วๆผืนโลก การระเหย คือการนำน้ำออกจากมหาสมุทร ทิ้งเกลือเอาไว้และทำให้ไอน้ำนั้นจับตัวเป็นเมฆซึ่งเคลื่อนที่ได้ง่ายโดยลม เพื่อที่จะกระจายน้ำไปทั่วๆผืนแผ่นดิน สำหรับ พืช สัตว์และผู้คน มันเป็นระบบของการทำให้บริสุทธิ์และการจัดหาเสบียง ซึ่งช่วยให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ดำรงอยู่ มันเป็นระบบของการรีไซเคิลและการนำกลับมาใช้ใหม่ ของน้ำ6
สมองของมนุษย์…มีการประมวลข้อมูลจำนวนมากมายอย่างน่าอัศจรรย์ใจในเวลาพร้อมๆกัน สมองของคุณนำข้อมูลเกี่ยวกับสี และวัตถุที่คุณเห็นทั้งหมด อุณหภูมิรอบๆตัวคุณ แรงกดของเท้าของคุณกับพื้น เสียงต่างๆรอบตัวคุณ ความแห้งที่ปากของคุณ หรือแม้แต่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดของคุณ สมองของคุณรับรู้และประมวลอารมณ์ความรู้สึก ความคิดและความทรงจำทั้งหมดของคุณเอาไว้ ในเวลาเดียวกันสมองของคุณก็ยัง รู้ความเป็นไปของการทำงานของร่างกายของคุณอีกด้วย อย่างเช่น รูปแบบการหายใจ การเคลื่อนไหวของ หนังตา ความหิว และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่มือทั้งสองของคุณ
สมองของมนุษย์มีการประมวลผลมากกว่าหนึ่งล้านข้อมูลต่อวินาที7 สมองของคุณชั่งน้ำหนักความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้ และกรองเอา ข้อมูลที่ไม่ค่อยสำคัญออกไป หน้าที่ในการคัดกรองเช่นนี้ คือสิ่งที่ทำ ให้คุณสามารถที่จะมุ่งความสนใจและกระทำการอย่างมีประสิทธิภาพ ในโลกของคุณได้ สมองที่ต้องจัดการกับข้อมูลที่มากกว่าหนึ่งล้าน ข้อมูลต่อวินาที ในขณะเดียวกันก็ประเมินความสำคัญของข้อมูลเหล่านั้น เพื่อที่คุณจะสามารถลงมือกระทำการตามข้อมูลที่มีความสำคัญได้ สมองทำหน้าที่ของมันต่างจากอวัยวะอื่น มันมีความฉลาด ความสามารถ ที่จะใช้เหตุผล สร้างความรู้สึกต่างๆ มีความฝันและการวางแผน มีการลงมือ ปฏิบัติการ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ดวงตา…สามารถแยกแยะสีต่างๆได้ถึงเจ็ดล้านสี มันมีการปรับความคมชัดโดยอัตโนมัติและและรับข้อมูลต่างๆได้ถึง 1.5 ล้านข้อมูลในเวลาเดียวกัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ8 ทฤษฎีวิวัฒนาการมุ่งความสนใจไปที่เรื่องการผ่าเหล่า การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงภายในของสิ่งมีชีวิต แต่ทฤษฎีนี้เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถให้คำตอบของแหล่งที่มาเบื้องต้นของดวงตาและสมองของมนุษย์ได้ นั่นคือเรื่องการเริ่มต้นของสิ่งที่มีชีวิตจากวัตถุที่ไม่มีชีวิต
พวกนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะมีความเชื่ออย่างจริงจังว่า จักรวาลเริ่มต้นขึ้นจากการระเบิดครั้งใหญ่ของพลังงานและแสงสว่าง ซึ่งปัจจุบัน เราเรียกมันว่า บิ๊กแบง(Big Bang) สิ่งนี้คือการเริ่มต้นเพียงครั้งเดียวของ สิ่งต่างๆท
นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศ ชื่อ โรเบิร์ต แจสโตร คนที่กล่าวถึงตนเองว่า เป็นพวกแอ็กนอสติค (พวกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าหรือไม่—ผู้แปล) ได้พูดเอาไว้ว่า “เมล็ดของทุกสิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นมาในจักรวาลนั้น ถูกปลูกขึ้นในชั่วขณะแรกนั้น ดาวทุกดวง พื้นพิภพทุกแห่ง และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในจักรวาลได้บังเกิดขึ้นมา เป็นผลของเหตุการณ์ต่างๆซึ่งถูกตั้งขึ้นไว้ให้มีการเปลี่ยนแปลงของมันในขณะที่มีการระเบิดของดวงดาว... จักรวาลก็เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นและเราก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่า อะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น...”9
สตีเว่น เวนเบิร์ก ซึ่งได้รับรางวัล โนเบล laureate สาขาฟิสิกส์ กล่าวว่า ในขณะที่มีการระเบิดนั้น “ความร้อนของจักรวาลนั้นประมาณหนึ่งแสนล้านองศาเซลเซียส... และจักรวาลนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง”10
จักรวาลไม่ได้ดำรงอยู่มาก่อนตลอดเวลา มันมีจุดเริ่มต้น... อะไรทำให้มันเกิดขึ้น? นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่มีคำอธิบายว่าการระเบิดอย่างทันทีทันใดของแสงสว่างและวัตถุนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
มีหลายอย่างในชีวิตที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่แน่นอน แต่ลองดูสิ่งที่มันคงเดิมที่เราสามารถวางใจได้ในทุกๆวัน เช่น แรงดึงดูดของโลกที่มันคงที่ตลอดเวลา กาแฟในแก้วที่เมื่อเราวางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์ก็จะเย็นชืด โลกหมุนรอบตัวเอง 24 ชม. เหมือนเดิม และความเร็วแสงก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป--ในโลกนี้ หรือในกาแล็กซี่ที่อยู่ห่างจากเราออกไป
เราสามารถแยกแยะถึงกฎธรรมชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร? ทำไมจักรวาลนี้มันจึงมีระบบระเบียบของมัน ทำไมมันจึงคงที่ เชื่อถือได้เช่นนี้?
“นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เองก็แปลกใจกับกับสิ่งที่น่าประหลาดเช่นนี้ มันดูไม่มีเหตุผลที่ว่าจักรวาลนั้นจำเป็นต้องเชื่อฟังกฎต่างๆเช่นนี้ นี่ขนาดว่ายังไม่นับกฎที่อ้างอิงได้ในทางคณิตศาสตร์เข้าไปเลยด้วยซ้ำ ความงุนงงสงสัยนี้เกิดขึ้นเมื่อระลึกได้ถึงความจริงที่ว่า จักรวาลไม่จำเป็นจะต้องมีการปฏิบัติตัวของมันเช่นนั้น มันดูจะง่ายกว่าที่จะจินตนาการถึงจักรวาลที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของมันทีละอย่างๆ อย่างที่เราไม่สามารถจะคาดเดาได้ หรือแม้ว่าจะเป็นภาพของจักรวาลที่มีบางอย่างเกิดขึ้นและบางอย่างหายไปในการดำรงอยู่ของมัน11
ริชาร์ด เฟ็นแมน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาควอนทัม อีเล็กโทรไดนามิกส์ (Quantum Electrodynamics) ได้กล่าวว่า “เหตุผลที่ธรรมชาติเป็นไปตามหลักการทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นสิ่งที่ลี้ลับ...ความเป็นจริงที่ว่าธรรมชาตินั้นมีกฎต่างๆของมันอยู่นี่ก็เป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างหนึ่ง”12
คำแนะนำการใช้ต่างๆ การสอนทั้งปวงหรือ การฝึกอบรมทั้งหลาย มาจากความตั้งใจของผู้ให้ คนที่เขียนคู่มือแนะนำการใช้ เขียนมัน ขึ้นอย่างมีเป้าหมาย คุณทราบหรือไม่ว่า ทุกๆเซลในร่างกายของเรา มีรายละเอียดของรหัสที่บอกข้อแนะนำการทำงานของเซลนั้นๆ คล้ายๆกับการเขียนโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ คุณอาจจะทราบว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นประกอบขึ้นจากตัวเลขหนึ่งและศูนย์มากมาย มันเป็นอะไรคล้ายๆอย่างนี้ 110010101011000 การเรียงลำดับของตัวเลขเหล่านี้ บอกกับโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ว่ามันต้องทำอะไร รหัสดีเอ็นเอในเซลของเราก็คล้ายคลึงกันนี้ มันประกอบด้วยสารเคมีสี่ตัวที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดเป็นตัวอักษรย่อ คือ A,T, GและC สารเคมีเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในเซลของมนุษย์ดังนี้คือ CGTGTGACTCGCTCCTGAT และต่อๆไป ในทุกๆเซลของร่างกายมนุษย์ จะมีการเรียงตัวกันของอักษรเหล่านี้ถึงสามพันล้านตัวเลยทีเดียว
มันก็คงเหมือนการที่คุณตั้งโทรศัพท์ของคุณไว้ให้ส่งสัญญาณตามเหตุผลต่างๆที่คุณมี ดีเอ็นเอก็เช่นเดียวกันมันบอกข้อแนะนำในการทำงานให้กับเซลนั่นเอง ดีเอ็นเอ คือโปรแกรมตัวอักษรสามพันล้านตัวที่ทำหน้าที่บอกกับเซลว่ามันจะทำอะไรอย่างไร มันคือคู่มือแนะนำการใช้แบบเต็มเล่ม13
ทำไมมันจึงมหัศจรรย์นัก? เราต้องมีคำถามว่า...แล้วโปรแกรมที่บรรจุ ข้อมูลเหล่านี้เข้าไปม้วนอยู่ในเซลของร่างกายเราได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สสารทางเคมีเท่านั้น นี่คือสสารทางเคมีที่กำหนดและชี้นำใน รายละเอียดทุกอย่างว่าร่างกายของคนๆหนึ่งจะมีพัฒนาการอย่างถูกต้อง ได้อย่างไร
เมื่อเราพูดถึงข้อมูลที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้แล้ว หากใช้เหตุผลทางธรรมชาติ หรือทางชีววิทยาเพียงเท่านั้นไม่สามารถจะให้คำอธิบายถึงสิ่งนี้แก่เราได้ เราจะไม่พบข้อมูลที่มีการระบุข้อแนะนำใช้ที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้ได้โดย ปราศจากใครบางคนที่ตั้งใจวางระบบของมันเอาไว้แน่นอน
ฉันเป็นพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ามาก่อน และก็เหมือนกับพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าทั่วไป ประเด็นที่เกี่ยวกับการที่มีคนเชื่อในพระเจ้าสร้างความรำคาญใจให้แก่ฉันเป็นอย่างมาก แล้วมันอะไรกันล่ะ ที่พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ได้ให้เวลา ความสนใจและใช้พลังงานอย่างมาก ในการปฏิเสธบางสิ่งที่เราไม่แม้แต่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง? อะไรนะทำให้เราทำเช่นนั้น? เมื่อตอนที่ฉันเป็นพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันมีเหตุผลในความตั้งใจของฉันว่า อยากแสดงความห่วงใยต่อคนที่น่าสงสาร คนที่อยู่ในความเชื่อผิดๆ เพื่อจะช่วยพวกเขาให้ตระหนักว่า ความหวังของพวกเขานั้นเป็นความหวังที่ไม่เหมาะสมถูกต้องอย่างสิ้นเชิง ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว ฉันมีแรงจูงใจอีกอย่างหนึ่ง เมื่อฉันท้าทายคนเหล่านั้นที่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันก็มีความสนใจใคร่รู้อย่างมากว่า พวกเขาจะสามารถทำให้ฉันเชื่อเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่? ส่วนหนึ่งของการค้นหาของฉันก็คือ เพื่อที่ฉันจะหมดคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพระเจ้าไปเลย ถ้าหากฉันสามารถหาข้อพิสูจน์ที่จะบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายได้ว่า พวกเขาทั้งหมดเชื่อผิด เมื่อนั้นประเด็นนี้ก็ถูกตัดไป และฉันก็จะเป็นอิสระในการที่จะใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป
ฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่า เหตุผลที่หัวข้อเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีน้ำหนัก อย่างมากในความคิดของฉัน ก็เพราะว่า พระเจ้าทรงผลักดันประเด็นนี้ ให้เข้ามานั่นเอง ฉันมาพบในภายหลังว่าพระเจ้านั้นทรงต้องการที่จะ เป็นที่รู้จัก พระองค์ทรงสร้างเราด้วยความตั้งใจให้เรารู้จักกับพระองค์ พระองค์ทรงทำให้หลักฐานเกี่ยวกับพระองค์นั้นอยู่รอบๆตัวเรา และทรง ทำให้คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นอยู่ตรงหน้าเราอย่างแน่นหนา สำหรับฉันมันเหมือนกับการที่ฉันไม่สามารถที่หลีกหนีจากกความคิดเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในเรื่องของพระเจ้า ในความเป็นจริง เมื่อวันที่ฉันเลือกที่จะรับรู้ การดำรงอยู่ของพระเจ้านั้น คำอธิษฐานของฉันเริ่มต้นอย่างนี้ว่า “โอเค พระองค์ชนะ…” สิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลเบื้องต้นของพวกที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าว่า ทำไมเขาจึงรำคาญใจเมื่อมีคนเชื่อในพระเจ้า นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้านั้นทรงเสาะหาพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจังก็เป็นไปได้
ฉันไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีประสบการณ์เช่นนี้ คุณมัลโคล์ม มักเกอริจด์ ซึ่งเป็นนักสังคมนิยมและนักเขียนเชิงปรัชญา ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผมมีความคิดในชั่วขณะหนึ่ง นอกเหนือจากการตั้งคำถาม ว่าผมเองกำลังถูกตามหาตัว” ซี เอส ลูวิส กล่าว่า เขาจำได้ว่า “… คืนแล้ว คืนเล่า ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเมื่อใดก็ตามที่ความคิดของข้าพเข้าปลอดจากงานของข้าพเจ้าแม้แค่วินาทีเดียว ความคิดเกี่ยวกับพระองค์ผู้ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยปรารถนาที่จะพบกลับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและเขม็งเกลียวอยู่ในสมอง ข้าพเจ้าจึงยินยอม และยอมรับว่าพระเจ้าคือพระเจ้า และคุกเข่าลงอธิษฐาน บางทีนะ ในคืนวันนั้นอาจจะเป็นคืนที่มีคนกลับใจใหม่ที่หดหูและไม่สมัครใจที่สุดคนหนึ่งในอังกฤษเลยก็ว่าได้”
ลูวิสได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า “Surprised by Joy (ประหลาดใจโดยความชื่นชมยินดี)” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรู้จักกับพระเจ้า ฉันด้วยเช่นกันที่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรนอกเหนือจากการยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างถูกต้องชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ดีในสองสามเดือนต่อมาฉันก็ต้องอัศจรรย์ใจด้วยความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อฉัน
ทำไมจึงเป็นพระเยซู? หากคุณดูที่ศาสนาหลักๆของโลก และคุณจะพบว่า พระพุทธเจ้า ท่านศาสดามูฮัมหมัด ขงจื๊อ และโมเสส ล้วนแล้วแต่แสดงตนเองว่าเป็น อาจารย์หรือผู้พยาการณ์ ไม่มีใครสักคนที่อ้างตนว่าเท่าเทียมกันกับพระเจ้า น่าแปลกใจที่พระเยซูทรงอ้างเช่นนั้น นั่นเป็นสิ่งที่แยกพระเยซูให้แตกต่างจากผู้นำทางศาสนาท่านอื่นๆ
พระองค์ตรัสว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่และคุณกำลังมองดูพระองค์ แม้ว่าพระองค์ตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ มันไม่ใช่จากสถานะที่มีการแยกจากกัน แต่ในฐานะที่ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเอกลักษณ์สำหรับมนุษยชาติทุกคน พระเยซูตรัสว่า ใครก็ตามที่เห็นพระองค์ก็เห็นพระบิดา และใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ก็เชื่อในพระบิดาด้วย
พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่เดินตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”14 พระองค์ทรงอ้างถึงคุณลักษณะที่มีเฉพาะในพระเจ้าเท่านั้น คือการที่ทรงสามารถที่จะอภัยโทษบาปได้ การที่ทรงปลดปล่อยเขาจากนิสัยบาป การที่จะทรงให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น และการที่จะให้เขามีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ พระเยซูไม่เหมือนอาจารย์ทางศาสนาท่านอื่นๆ ที่สอนให้คนเพ่งความสนใจมาที่คำสอนต่างๆของพวกท่าน แต่พระองค์ให้เขาเพ่งความสนใจของเขามาที่พระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “จงติดตามคำของเราแล้วเจ้าจะพบความจริง” พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”15
พระเยซูทรงให้อะไรเป็นข้อพิสูจน์ในการกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า? พระองค์ทรงทำสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ ทรงรักษาผู้คน คนตาบอด คนเป็นง่อย คนหูหนวก และแม้กระทั่งทำให้คนสองสามคนเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจเหนือวัตถุ ทรงสร้างให้มีอาหารจากอากาศบางๆ ซึ่งมีจำนวนเพียงพอที่จะเลี้ยงคนเป็นพันๆคน พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ ทรงเดินบนทะเลสาป ทรงสั่งให้พายุที่กำลังพัดกระหน่ำให้หยุดเพื่อเพื่อนของพระองค์ ผู้คนในทุกที่ทุกแห่งติดตามพระองค์เพราะว่า พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการที่จำเป็นต่างๆของพวกเขาอยู่เสมอ ทรงกระทำการอัศจรรย์ พระองค์ตรัสว่า ถ้าท่านไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เราบอกท่าน แต่อย่างน้อยท่านควรจะเชื่อในเราโดยดูจากการอัศจรรย์ที่เราได้กระทำ16
พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้าให้เราเห็นในแง่ที่ว่าทรงอ่อนโยน เต็มด้วยความรัก ทรงรับรู้ถึงการมีตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรา และความบกพร่องทุกอย่างของเรา แต่ก็ยังคงต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเรา พระองค์ทรงสำแดงว่า แม้ว่าพระเจ้าจะทรงมองเราว่าเป็นคนบาปซึ่งสมควรแก่การลงโทษของพระองค์ แต่ความรักของพระองค์ก็มีชัยชนะ และพระเจ้าทรงมีแผนการอย่างอื่นแทน พระเจ้าพระองค์เองทรงมาเป็นมนุษย์และยอมรับโทษความบาปของเราแทนเรา ฟังดูน่าขันไหม? บางทีคุณพ่อผู้มีความรักทั้งหลายอาจจะเต็มใจยอมที่จะป่วยเป็นมะเร็งแทนที่ลูกๆของพวกเขาถ้าเขาสามารถทำได้ พระคัมภีร์บอกว่าเหตุผลที่ทำให้เรารัก พระเจ้าก็เพราะว่า พระองค์นั้นทรงรักเราก่อน
พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อที่เราจะสามารถรับการอภัยโทษบาปได้ เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาต่างๆที่มนุษยชาติของเรารู้จัก พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้คุณเห็นการที่พระเจ้าทรงเอื้อมลงมาหามวลมนุษยชาติ โดยการจัดเตรียมหนทางที่เราจะได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระเยซูทรงพิสูจน์ให้เห็นหัวใจแห่งความรักของพระเจ้า การทรงตอบสนองความต้องการที่จำเป็นต่างๆของเรา การทรงนำเราเข้าใกล้พระองค์เอง เหตุเพราะการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู พระองค์ได้ทรงเสนอชีวิตใหม่ให้กับเราในวันนี้ เราสามารถที่จะรับการอภัยโทษบาป ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าอย่างเต็มที่และรับความรักที่แท้จริงจากพระองค์
พระองค์ตรัสว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป”17 นี่คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการของพระองค์
พระเจ้าดำรงอยู่จริงหรือ? ถ้าคุณต้องการที่จะรู้ ลองทำการสืบค้นเกี่ยวกับพระเยซูดูสิ เราได้รับการบอกเล่าว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”18
พระเจ้ามิได้ทรงบังคับเราให้เชื่อในพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะทรงสามารถทำเช่นนั้นได้ก็ตาม แทนที่จะบังคับเรา พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมข้อพิสูจน์อย่างเพียงพอในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เพื่อที่เราจะตอบสนองต่อพระองค์ด้วยความเต็มใจ เมื่อเราพิจารณาจาก ระยะห่างที่เหมาะสมที่สุดของโลกจากดวงอาทิตย์ คุณสมบัติทางเคมีของน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ สมองของมนุษย์ ดีเอ็นเอ ผู้คนจำนวนมากที่ยืนยันถึงการรู้จักกับพระเจ้า สิ่งที่รบกวนจิตใจและความคิดของราในการที่จะทราบอย่างชัดเจนไปเลยว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆหรือเปล่า ความเต็มใจที่จะให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักได้โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณต้องการที่จะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเยซูและเหตุผลที่เราควรจะเชื่อในพระองค์ ให้เข้าไปดูในหัวข้อ เชื่ออย่างมีเหตุผล
นี่เป็นการตัดสินใจของคุณ ไม่มีการบีบบังคับใดๆทั้งสิ้น หากคุณต้องการที่จะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้า และเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ คุณสามารถทำได้เดี๋ยวนี้ โดยการขอให้พระเจ้าทรงยกโทษบาปของคุณ และเข้ามาในชีวิตของคุณ พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้นั้น”19 ถ้าคุณต้องการจะทำเช่นนี้แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เป็นคำพูดได้อย่างไร สิ่งนี้อาจจะช่วยคุณได้ “พระเยซูเจ้าข้า ขอบพระคุณพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรู้จักชีวิตของข้าพเจ้า และรู้ว่าข้าพเจ้าต้องการการอภัยโทษบาป ข้าพเจ้าทูลขอให้พระองค์ทรงยกโทษบาปให้แก่ข้าพเจ้า ในเวลานี้ และขอโปรดเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการที่จะรู้จักพระองค์ในแบบที่เป็นจริง ขอโปรดเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับข้าพเจ้า อาเมน”
พระเจ้าทรงมองความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ถาวร พระเยซูตรัสกับเรา เมื่อกล่าวถึงคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระองค์ ตรัสว่า “เรารู้จักเขาและเขาติดตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่เขา และเขาจะไม่พินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงเขาไปจากมือของเราได้”20
ดังนั้น พระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือ? เมื่อมองดูข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ก็ได้ข้อสรุปที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยความรักทรงดำรงอยู่จริงๆ และเราสามารถที่จะรู้จักพระองค์แบบส่วนตัวและสนิทสนมได้ หากคุณต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างของพระเยซูว่าทรงเป็นพระเจ้า หรือเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า หรือหากคุณมีคำถามสำคัญที่คล้ายๆกับคำถามเหล่านี้ กรุณาส่งอีเมลมาหาเรา
► | ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้) |
► | ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ |
► | ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น |
(1) โรม 1:19-21 (2) เยเรมีห์ 29:13-14 (3) R.E.D Clark, Creation (London: Tyndale Press, 1946) หน้า 20 (4) The Wonders of God’s Creation, Moody Institute of Science (Chicago.IL) (5) Ibid. (6) Ibid. (7) Ibid. (8) Hugh Davso, Physiology of the Eye, 5th ed (New York: McGraw Hill, 1991) (9) โรเบิร์ต แจสโตร ; “Message from Professor Robert Jastrow” ; LeaderU.com; 2002. (10) สตีเว่น เวนเบิร์ก :”The First Three Minutes: A Modern View of the origin of the Universe; (Basic Books, 1988); หน้า 5 (11) Dinesh D’Souza, What’s So Great about Christianity; (Regnery Publishing, Inc, 2007, บทที่11) (12) Richard Feynman, The Meaning of It all: Thoughts of a Citizen-Scientist (New York: Basic Books, 1988) 43 (13) Francis S. Collins, ผู้อำนวยการของ Human Genome Project และผู้เขียนหนังสือชื่อ The Language of God, (Free Press, New York,NY), 2006 (14) ยอห์น 8:12 (15) ยอห์น 14:6 (16) ยอห์น 14:11 (17) เยเรมีห์ 31:3 (18) ยอห์น 3:16 (19) วิวรณ์ 3:20 (20) ยอห์น10:27-29