×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
ถาม&ตอบ

พระเยซูและอิสลาม

สิ่งต่อไปนี้ คือคำถามที่ผู้ติดตามศาสนาอิสลามและคนอื่นๆ มักจะถามเกี่ยวกับพระเยซู…

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

การนำเสนอต่อไปนี้เป็นการนำเสนอความจริงเพื่อใครก็ตาม ที่ต้องการทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู มันไม่ใช่การท้าทาย และไม่มีการวิพากวิจารณ์ศาสนาอื่นๆในทางใดทางหนึ่งเลย

นี่คือการตอบคำถาม 6 คำถามในบทความนี้

  1. พระคัมภีร์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากฉบับดั้งเดิม หรือไม่?
  2. พระเจ้าได้ตรัสหรือว่าศาสนาหนึ่งจะมาแทนที่ อีกศาสนาหนึ่ง คือลัทธิยูดาห์ จากนั้นศาสนา คริสเตียนและศาสนาอิสลาม?
  3. การที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงมีพระบุตรนั้น ไม่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าหรือ?
  4. พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์จริงบนไม้กางเขน หรือไม่?
  5. ถ้าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจริงแล้ว ดังนั้นพระเจ้าได้สิ้นพระชนม์ 3 วันอย่างนั้นหรือ?
  6. ทำไม เราจึงไม่ถือว่าพระเยซู ทรงเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะเท่านั้น?

1. พระเยซู และอิสลาม : พระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงหรือ? หรือว่าพระคัมภีร์ ถูกเปลี่ยนแปลง และทำให้เสื่อมไป ตามกาละและเวลา?

นี่เป็นคำนำ มีคำกล่าวเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าที่เราพบได้ ในพระคัมภีร์ ดังนี้ว่า “... ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้ อักษรหนึ่ง หรือขีดๆหนึ่ง ก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่ต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว”1

พระคำของพระเจ้าจะไม่สูญหายไป ทุกอย่างที่ปรากฎอยู่ ในพระคำของพระเจ้าจะต้องสำเร็จทั้งหมดทั้งสิ้น

และอีกครั้งที่มีคำกล่าวถึงพระคำของพระเจ้าอีกว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไป หามิได้เลย”2

และยังมีกล่าวอีกว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การ ตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม”3 และ “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเรา จะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์”4

เราต้องถามตัวเราเองว่า “พระเจ้าทรงสามารถที่จะปกป้องพระคำของพระองค์ได้หรือไม่?” พระเจ้าจะทรง สามารถกระทำให้คำกล่าวที่ว่า ถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไป หรือ จะไม่สำเร็จก็หามิได้ นั้น เป็นผลสำเร็จได้ หรือไม่?

พระเจ้าทรงมีความสามารถที่จะทำการได้ไหม? ต้องใช่อย่างแน่นอน นี่คือพระคำของพระองค์ที่มีมาถึง คนทุกคน เรากำลังจับผิดพระเจ้าโดยการพูดว่าพระองค์นั้นไม่สามารถที่จะป้องกันพระคำของพระองค์ จากการถูกเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีสิ่งใดถูกเปลี่ยนแปลงไป นั่นเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น

พระคัมภีร์ อัล กุรอาน ไม่ได้บอกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ถูกเปลี่ยนแปลง แต่เป็นไปในทางตรงกันข้าม ต่างหาก คัมภีร์อัล กุรอานให้เกียรติแก่ คัมภีร์หมวดเบญจบรรณ (ห้าเล่มแรกในพระคัมภีร์เดิม อัล กุรอาน เรียกว่า เตารอด - ผู้แปล) และพระคริสตธรรมคัมภีร์ อัล กุรอานกล่าวถึง หมวดเบญจบรรณ และ “ซาเบอร์” (ซึ่งก็คือพระคัมภีร์เดิมและพระธรรมสดุดี) และ”อินยิล” (คือพระคัมภีร์ใหม่) ด้วย หลายต่อ หลายครั้ง

เมื่อศาสนาอิสลามได้เริ่มต้นขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 6 คือ 600 ปีหลังจากพระเยซูคริสต์ ในตอนนั้น พระคัมภีร์ได้รับการยอมรับว่าถูกต้อง

ดังนั้น คุณอาจจะถามว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 หรือไม่? คำตอบคือ ไม่ สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็คือแค่เปรียบเทียบพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับปัจจุบันนี้ กับฉบับที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ดูก็เท่านั้น

เราสามารถที่จะหาพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ได้หลายฉบับ นับเนื่องไปจนถึง ค.ศ. 300 นั่นเลย ทีเดียว เป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่คัมภีร์อัล กุรอาน จะถูกเขียนขึ้น คุณสามารถที่จะพบพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ เหล่านั้นได้ทั้งในพิพิธภัณฑ์ในกรุงลอนดอน ในนครวาติกัน และในหลายที่หลายแห่งได้เช่นกัน ถ้าคุณได้ เปรียบเทียบพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับปัจจุบันและฉบับต่างๆของปีค.ศ 300 แล้วละก็ คุณจะได้พบว่า ฉบับปัจจุบันนั้นก็เหมือนกันกับฉบับเก่าแก่เหล่านั้น

คุณทราบหรือไม่ว่า มีบางส่วนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ที่ถูกคัดลอกสำเนาด้วยลายมือนั้นมากถึงเกือบ 25,000 สำเนาเลยทีเดียว เมื่อนักประวัติศาสตร์ได้ทำการเปรียบเทียบฉบับคัดลอกเหล่านี้แล้ว ก็ให้ข้อสรุป ได้ว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ฉบับที่เรามีปัจจุบันนี้ มีความถูกต้องแม่นยำถึง 99.5% ของฉบับดั้งเดิม สรุปแล้ว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

(.5% ที่มีความแตกต่างนั้นถูกกล่าวถึงว่าเป็นการสะกดคำผิดแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป)

และคุณอาจจะเคยได้ยินถึงการค้นพบทางโบราณคดีเมื่อเร็วๆนี้ คือม้วนหนังสือทะเลตาย ม้วนหนังสือที่ว่านี้ ถูกค้นพบที่ถ้ำชื่อคุมราน ซึ่งอยู่ที่มุมทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ของทะเลตาย

นักวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบฉบับปัจจุบันที่เรามีอยู่ กับฉบับที่มีการค้นพบนั้น พบว่า ทั้งสองมีความ ใกล้เคียงกันอย่างมากเกือบเหมือนกันทั้ง 100%

อย่าให้ใครมาบอกคุณว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่นั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากงานเขียนดั้งเดิม เพราะ การกล่าวเช่นนั้น ไม่ถูกต้องในเชิงประวัติศาสตร์เลย แม้แต่น้อย

พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง

เอาละ แล้วเกี่ยวกับพระกิตติคุณทั้งสี่เล่า? พระกิตติคุณเหล่านั้น เป็นพระวจนะที่แตกต่างกัน คือแตกต่างจากกันและกัน หรือไม่?

ใช่แล้ว มีหนังสือพระกิตติคุณอยู่สี่เล่มด้วยกัน คือ มัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์น ซึ่งอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ พระกิตติคุณ ทั้งสี่นี้จริงๆแล้ว ช่วยให้เราเห็นว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่เคย ถูกทำให้ผิดพลาดไป พระกิตติคุณทั้งสี่ คือพยานทั้งสี่ เรื่องราว ชีวิตของพระเยซู ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ หรือสิ่งที่พระองค์ตรัส จากผู้เขียนสี่คน

ลองจินตนาการตามดูว่า ถ้ามี หนึ่ง หรือสอง หรือเอาสี่คนเลยก็ได้ เป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ ในอุบัติเหตุรถชนกันที่หัวมุมถนนแห่งหนึ่ง และแต่ละคนถูกขอให้เขียนเล่าเรื่องราวของอุบัติเหตุนั้นในสิ่งที่ตนเห็นหรือได้ยิน เป็นคำพยานที่จะถูกใช้ ในชั้นศาล คุณคิดว่า พวกเขาเหล่านั้นจะเขียนบรรยายถึงสิ่งที่เขาได้เห็นหรือได้ยิน เป็นคำพยานแบบคำ ต่อคำ เหมือนกันเป๊ะทั้งหมดไหม? แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ แต่ละคนก็จะต้องเขียนจากมุมมองของตนเอง ต่อสิ่งที่เขาเห็นใช่ไหม และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนพระกิตติคุณทั้งสี่คนนั้น ในการเขียนเรื่องราว ของพระเยซู ในฐานะที่เป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซู

เป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายศตวรรษที่ระบบยุติธรรมนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และเมื่อเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง คำพยานของคนหนึ่งจะขัดแย้งกับคำพยานของอีกคนหนึ่ง ไม่ได้เลย บ่อยครั้งทีเดียวที่ศาลต้องการพยานมากกว่า หนึ่งปาก นี่เป็นสิ่งที่กล่าวถึงในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ ซึ่งยกข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์เดิมมากล่าวถึง คือ “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปาก จึงจะเป็นที่เชื่อถือได้”5

ผู้ที่เป็นพยานถึงพระเยซู ไม่ใช่มีแค่ผู้เขียนพระกิตติคุณทั้งสี่เท่านั้น แต่ยังมีพยานอีกหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ยากอบ เปาโล ยูดาห์ เปโตร และท่านอื่นๆที่เขียนหนังสือเล่มอื่นในพระคัมภีร์ใหม่ด้วย

ยอห์นได้พูดเอาไว้ “(ท่านเขียนว่า) ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดูและจับต้องด้วยมือของเรานั้น ...”6 พวกเขาเหล่านี้เป็นพยานของพระเยซูผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหลาย ดังนั้น พวกเขาจึงได้เขียนในสิ่งที่พวกเขาได้เห็น

แล้วเรื่องของภาษาที่ใช้เขียนพระคัมภีร์ และในการแปลเป็นภาษาต่างๆนั้นเล่า เป็นอย่างไร?

พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นในภาษาฮีบรูและกรีก ไม่ว่าพระคัมภีร์ที่ถูกแปลนั้นจะจัดพิมพ์ขึ้นในปีใดก็ตาม ฉบับแปลนั้นจะต้องมาจากต้นฉบับที่เป็นภาษาฮีบรูและกรีกเสมอ (ตัวอย่างเช่น พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่เคย ถูกแปลจากฉบับภาษาอังกฤษเป็นอังกฤษ พระคริสตธรรมคัมภีร์จะถูกแปลจากฉบับดั้งเดิมเสมอ)

มีพระคัมภีร์บางฉบับที่มีการถอดความหรือการใช้สำนวนใหม่ ซึ่งไม่ใช่การแปล และฉบับเหล่านี้ก็จะบอกเอา ไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นฉบับถอดความ อย่างไรก็ตาม การแปลก็คือการแปล นั่นก็คือแปลจากฉบับดั้งเดิมที่เป็น ภาษาฮีบรูและกรีกเท่านั้น

งานเขียนฉบับภาษาฮีบรูและกรีกได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆเป็นหลายพันภาษา ทำไมน่ะหรือ? เพราะว่า พระเจ้าทรงต้องการให้ทุกๆคนในโลกนี้ได้รู้ข่าวดีเรื่องความรอดจากบาป

และการแปลพระคัมภีรนั้นไม่ใช่เรื่องยาก บางเล่มในพระคริสตธรรมคัมภีร์(พระธรรมสุภาษิต บทเพลง ซาโลมอน พระธรรมสดุดี) เป็นแบบบทประพันธ์ แต่ถึงกระนั้นหัวใจของพระคริสตธรรมคัมภีร์โดยตัวของมันเอง มีการใช้ภาษาที่เรียบง่ายซึ่งพบได้ในวิถีการดำรงชีวิตประจำวัน การแปลนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก ความเป็นจริงที่ว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นมีความตรงไปตรงมา และเป็นการเขียนบันทึกเรื่องราวที่เรียบง่าย ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราจะเชื่อวางใจในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้

สิ่งที่กำลังจะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง เรื่องมีอยู่ว่า

“ลูกชายของผมโทรมาหาผมวันหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาอยู่ในประเทศหนึ่งขับรถอยู่ที่ถนนหลวงสายใหญ่ สายหนึ่งและเกิดอุบัติเหตุขึ้น รถยนต์ของเขาถูกชนโดยรถยนต์อีกคันและ รถของลูกชายก็หมุน 180 องศา ไปจอดอยู่กลางถนนใหญ่เส้นนั้น แต่อยู่ผิดเลน

เขาบอกว่า “พ่อครับ ผมโอเคนะ แต่ว่าตอนนี้ผมจะทำยังไงดี? ลูกผมเขากำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ คุณคิดว่า ณ เวลานั้น ผมจะส่งข้อความที่เป็นบทกลอน ไปให้ลูก ซึ่งเป็นบทกลอนที่ผมได้ท่องจำเอาไว้ หรือเปล่า? ไม่ใช่แน่

ณ ขณะนั้น คงเป็นเวลาที่ผมจะพูดกับลูกด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายว่า “จอห์น นี่เป็นสิ่งที่ลูกต้องทำ ลูกกำลังอยู่ใน ปัญหาที่ยุ่งยากมากๆ และพ่อจะบอกทางที่จะช่วยให้ลูกพ้นจากปัญหานั้นได้” และนี่คือหัวใจของพระคริสต ธรรมคัมภีร์ มนุษยชาติกำลังประสบปัญหาและกำลังมุ่งหน้าไปสู่ขุมนรก เพราะว่าทุกคนทำบาปและ เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า และเราต้องการข่าวสารเกี่ยวกับความรอดที่เรียบง่าย พระคริสตธรรมคัมภีร์ บอกกับเราว่า เราจะสามารถได้รับการภัยโทษบาปได้อย่างไร บอกถึงการที่เราจะมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ได้อย่างไร สัมพันธภาพซึ่งเริ่มต้นเดี๋ยวนี้และจะยังคงอยู่ต่อไปตลอดนิรันดร์ นี่เป็นข่าวสารที่เปลี่ยนแปลง ชีวิตของเรา

2. พระเยซุกับอิสลาม: พระเจ้าได้ตรัสจริงหรือว่า ศาสนาหนึ่งจะมาแทนที่ศาสนาอื่นๆ?

พระเจ้าได้ทรงตั้งพระทัยหรือว่า จะให้เราเริ่มต้นจากลัทธิยูดาห์แล้วเปลี่ยนเป็นศาสนาคริสเตียนแล้วต่อจากนั้น เป็นศาสนาอิสลาม?

คำคอบคือ ไม่ใช่ พระเจ้านั้นมีความเสมอต้นเสมอปลาย พระองค์ไม่เคยทรงสนพระทัยในการก่อตั้งศาสนาเลย

เริ่มตั้งแต่อับราฮัม พระเจ้านั้นทรงมีความชัดเจนในการที่ทรงสำแดงพระองค์เองแก่เรา เพื่อจะให้เรามีความ สัมพันธ์กับพระองค์ เป้าหมายสูงสุดในการทรงสร้างพวกเรามาก็เพื่อความสัมพันธ์ มิใช่เพื่อศาสานา

ให้เรามาดูตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อทรงสร้างอาดัมและเอวากัน พวกเขามีการสื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง และ ในความจำเป็นทุกอย่างที่เขาต้องการพระเจ้าก็ทรงจัดหาให้

จากนั้นซาตานก็ปรากฎแก่พวกเขาในรูปลักษณ์ของงู และได้ทดลองพวกเขา เป็นที่น่าเสียดายที่พวกเขา เลือกที่จะเชื่อซาตานและไม่เชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าเด้ตรัสสั่งพวกเขาไว้ และผลสืบเนื่องจากการกระทำนั้น ก็คือพวกเขาขาดจากความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้า

แต่คุณรู้ไหมว่า พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่าอย่างไรในทันที หลังจากเหตุการณ์นั้น? พระเจ้าได้ตรัสว่า บุตรชายของหญิงนั้นจะเป็นศัตรูกับซาตาน พระเจ้าได้ตรัสว่าซาตานจะมีชัยชนะบ้างบางส่วน โดยการทำให้ส้นเท้าของเด็กคนนั้นฟกช้ำ แต่บุตรคนนั้นจะต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วได้ชัยชนะ บดขยี้หัวของซาตานให้แหลกไป

นี่คือสิ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์บันทึกไว้

“พระเจ้าจึงตรัสแก่งูว่า “เพราะเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้อง ถูกสาปแช่งมากกว่าสัตว์ใช้งานและสัตว์ป่าทั้งปวง จะต้อง เลื้อยไปด้วยท้อง จะต้องกินผงคลีดินจนตลอดชีวิต เราจะ ให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและ พงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัว ของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”7

ซาตานจะกระทำให้ส้นเท้าของพงศ์พันธุ์ของหญิงฟกช้ำ แต่พงศ์พันธุ์ของหญิงจะขยี้หัวของซาตาน ให้แหลก และทางเดียวที่จะฆ่างูร้ายได้ก็คือการที่จะบดขยี้หัวของมัน

นี่หมายความว่าอย่างไร? มีคำอธิบายเพียงข้อเดียวเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ

ซาตานได้กระทำให้พระเยซูฟกช้ำที่บนไม้กางเขน เมื่อมือและเท้าของพระองค์ถูกตอกตรึงด้วยตะปู แต่พระเยซุก็ได้ทรงเอาชนะการประทุษร้ายขเองซาตาน บนกางเขนพระเยซูทรงเอาชนะซาตานได้ พระเยซูทรงจ่ายโทษความบาปแทนมนุษยชาติ ทรงประทานการอภัยโทษบาปให้แก่ทุกคน และทรงเป็นหนทางที่เราจะได้กลับสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้เขียนเอาไว้ถึงพงศ์พันธุ์ของหญิงผู้นี้ว่า

“ ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงามที่เราทั้งหลายจะมองท่าน และไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่ง ซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่นและเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ ของเราทั้งหลาย และหอบความเจ็บปวดของเราไป

กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศ ของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา

การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี

เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน”8

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์พูดถึงผู้ใดกัน? เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ท่านพูดถึงพระเยซู และพระวจนะตอนนี้ ถูกเขียนขึ้นเมื่อไหร่? มากกว่า 600 ปี ก่อนพระเยซูคริสต์

จากจุดแรกเริ่มผ่านช่วงเวลาเป็นพันๆปี พระเจ้าได้ตรัสเสมอว่า พระเยซูจะมาและจะทรงสิ้นพระชนม์ เหมือนกับที่เราได้อ่านจากพระธรรมอิสยาห์ คุณจะคิดอย่างไรกับพระเจ้า ถ้าเกิดพระองค์ทรงเปลี่ยน พระทัยในวินาทีสุดท้าย? ถ้าเกิดพระองค์ทรงสัญญาเกี่ยวกับพระเยซูมาเป็นพันๆปีแล้ว ทรงเปลี่ยน พระทัยและไม่ทรงยอมให้พระเยซูมาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงพระทัยของพระองค์

3. พระเยซูและอิสลาม: การที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงมีพระบุตรนั้น ไม่เป็นการหมิ่น ประมาทพระองค์หรือ?

พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระเยซูทรงเป็นพระบุตร ของพระเจ้าในความหมายฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้นไม่ใช่ตาม ความหมายทางฝ่ายร่างกาย

ถ้าหากมีบางคนกล่าวว่า “คุณเป็นลูกของซีดาร์” หมายถึงว่า คนๆนั้นมาจากเลบานอน หรือถ้าหากมาจากอียิปต์ เขาจะพูดว่า “คุณเป็นลูกแห่งแม่น้ำไนล์” การที่จะพูดว่า พระเยซูทรงเป็นบุตรของพระเจ้า หมายถึงว่า พระเยซู ทรงมาจากพระเจ้า มันเหมือนกับคำเรียก เมื่อทูตสวรรค์ ปรากฏแก่มารีย์ ทูตสวรรค์กล่าวว่า “องค์บริสุทธิ์นั้นจะ ได้ชื่อว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหมือนกับ คำเรียก คริสเตียนไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีความสัมพันธ์ ทางเพศกับผู้หญิงคนใด

ท่านอิสยาห์ได้กล่าวว่า “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครอง จะอยู่ที่บ่าของท่านและท่านจะเรียกนามของท่านว่า ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดา นิรันดร์และองค์สันติราช”9

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงมาเป็นมนุษย์โดยทางนางมารีย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระบุตรในเวลา เดียวกัน ซึ่งทรงถือกำเนิดจากนางมารีย์ซึ่งเป็นสาวพรหมจรรย์

คุณคิดว่าทำไมพระเจ้าจึงอนุญาตให้พระเยซูทรงถือกำเนิดจากมารีย์หญิงพรหมจารีย์?

การที่ทรงถือกำเนิดจากผู้หญิง ไม่ใช่จากผู้หญิงและผู้ชาย หมายถึงว่า พระองค์ไม่ได้ทรงรับธรรมชาติของ ความผิดบาปจากอาดัมและเอวา ครั้งเมื่ออาดัมและเอวา ตกลงในความบาปนั้น พวกเขาได้ส่งผ่านธรรมชาติ ของความบาป จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งโดยผ่านทางลูกหลานของพวกเขาจนมาถึงพวกเรา

เราทุกคนเกิดมาจากคนบาป พวกเราเกิดมาพร้อมกับแนวโน้มที่จะทำสิ่งที่เราอยากทำมากกว่าสิ่งที่พระเจ้า ต้องการ เราทุกคนเป็นคนบาป นั่นทำให้ผู้เผยพระวจนะดาวิดได้ร้องครวญว่า “มารดาของข้าพเจ้า ตั้งครรภ์ข้าพเจ้าในความบาป เราทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมด้วยความบาป เรามีชีวิตอย่างคนบาป และเราทุกคน จำเป็นต้องมีพระผู้ไถ่ให้รอด

แต่ในการที่พระเยซูจะทรงสามารถไถ่เราได้นั้น พระองค์จำเป็นต้องมีธรรมชาติที่แตกต่างจากเรา พระองค์ ทรงจำเป็นต้องถือกำเนิดมาโดยพระวิญญาณของพระเจ้า คือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงไม่มี ความบาปใดๆทั้งสิ้น “ในพระองค์ไม่มีการหลอกลวง” พระองค์ทรงปราศจากบาปอย่างสิ้นเชิง

ในพระวจนะได้บันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อพระเจ้า ทรงสำแดงพระองค์เองแก่โมเสสนั้น พระองค์ทรงสำแดง เป็นพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชนอยู่ ทรงเป็นเสียงจากสวรรค์เมื่อตรัสกับอับราฮัม แล้วใครจะห้ามได้ว่า พระองค์ ไม่สามารถทรงสำแดงพระองค์เป็นมนุษย์เมื่อต้องการพูดกับเราได้ ?

4. พระเยซูและอิสลาม : พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์จริงบนไม้กางเขนหรือไม่?

พระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัมอย่างไร? พระองค์บอกให้ อับราฮัมวางบุตรชายของตนไว้บนแท่นบูชา ในขณะที่ พวกเขากำลังเดินขึ้นภูเขาไปด้วยกันนั้น บุตรชายได้ถาม ว่า “เครื่องเผาบูชานั้นอยู่ที่ไหน?” อับราฮัมตอบว่า “พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็น เครื่องเผาบูชา” และพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมลูกแกะ สำหรับถวายบูชาเอง และอับรมฮัมก็ได้ถวายมันเป็น เครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า

ให้มาดูการสื่อสารที่มีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ที่พระเจ้า ทรงให้กับเรา

พระเจ้าทรงไว้ชีวิต พระองค์ทรงรักษาชีวิตบุตรชายของ อับราฮัมไว้โดยลูกแกะหนึ่งตัวนั้น

และต่อมาในพระธรรมอพยพ เราก็ได้เห็นถึงความสำคัญของลูกแกะอีกครั้งหนึ่ง ในอพยพ พระเจ้าได้ทรง เตือนประชากรของพระองค์ว่า พระองค์จะทรงตีชาวอียิปต์ ถ้าประชาชนผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้าจะเอาเลือดของ ลูกแกะทาเอาไว้ที่วงกบประตูบ้านของตนเอง พระเจ้าจะทรงให้ทูตแห่งความมรณาผ่านเว้นบ้านหลังนั้น ไป ทรงช่วยเขาให้รอดจากความตาย ประชากรผู้เชื่อทั้งหลายได้รับการช่วยให้รอดด้วยลูกแกะหนึ่งตัว

และจากนั้น เราเห็นลูกแกะหนึ่งตัวอีกครั้งจากพระธรรมเลวีนิติ และทุกปี ปุโรหิตจะนำลูกแกะหนึ่งตัวมาและ ถวายเป็นเครื่องบูชาแทนความผิดบาปของคนที่เชื่อในพระเจ้า คนๆหนึ่งก็ได้รับการช่วยให้รอดด้วยลูกแกะ หนึ่งตัวเช่นเคย

ต่อมาเราก็ได้ยินยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศถึงพระเยซูต่อหน้าฝูงชนดังนี้ว่า “จงดูพระเมษโปดก (ลูกแกะ) ของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย”10 ลูกแกะที่จะช่วยทั้งโลกให้รอดได้ สำหรับทุกคนที่จะ เชื่อศรัทธาในพระองค์

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากอับราฮัมไม่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า? หรือว่าไม่ได้เชื่อว่า พระเจ้าได้ตรัสกับ ท่านจริงๆ? แน่นอนว่าบุตรชายของท่านคงจะถูกฆ่าไปแล้ว

แล้วสมัยอพยพ ถ้าหากประชาชนเหล่านั้นไม่ได้เชื่อพระเจ้าและไม่ได้ทาเลือดของลูกแกะเอาไว้ที่วงกบ ประตูบ้านของเขา อะไรจะเกิดขึ้น?

ดังนั้นตอนนี้ คือคำถามที่ว่า เมื่อ2000 กว่าปีมาแล้ว พระเยซู ลูกแกะของพระเจ้า ได้ถูกแขวนไว้บนไม้ กางเขน ทรงให้ชีวิตของพระองค์แก่คุณ เราได้รับการบอกเล่าที่ชัดเจนว่า “ พระเจ้าได้ทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา”11

ถ้าคุณได้พูดว่า “ ไม่ใช่หรอก พวกเขาไม่ได้ตรึงพระองค์ พระองค์ไม่ได้ถูกฆ่าตาย” ลูกแกะของพระเจ้า พระองค์นี้ก็ได้ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาแทนความผิดบาปของคุณและของโลกแล้ว และถ้าหากคุณพูด อีกว่า พระองค์ไม่ได้ทรงถูกฆ่าตาย คือพูดว่าลูกแกะของพระเจ้าพระองค์นี้ไม่ได้ตายเพื่อความผิดบาป ของคุณ เพื่อการอภัยโทษบาปสำหรับคุณ พูดอย่างนั้นจะได้หรือ?

5. พระเยซูและอิสลาม : ถ้าหากว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและทรง ถูกฝังไว้สามวัน นั่นหมายถึงว่า พระเจ้าสิ้นพระชนม์อยู่สามวันอย่างนั้นหรือ?

นี่เป็นคำถามที่ดีทีเดียว การอธิบายโดยใช้ตัวอย่างนี้ จะช่วยตอบคำถามข้างบนได้เป็นอย่างดี

สมมติว่า เรามีแจกันอยู่ใบหนึ่งซึ่งไม่มีทั้งดอกไม้หรือ น้ำอยู่ในนั้น แจกันใบนั้นมีอากาศอยู่เต็ม ทีนี้ อะไร คือความแตกต่างของอากาศข้างนอกแจกันกับอากาศ ข้างในแจกันกันล่ะ? อากาศข้างในแจกันมีรูปทรง ใช่ไหม? ส่วนประกอบของอากาศข้างในและ ข้างนอกแจกันนั้นเหมือนกันแต่ต่างกันที่ว่า อากาศข้างในแจกันนั้นมีรูปทรง

ถ้าเราเอาแจกันอันนั้นขว้างเข้าใส่ผนังห้อง แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอากาศข้างในแจกันนั้น? อากาศมันตายไหม? ไม่ใช่แน่ อากาศจะตายไม่ได้ แจกันที่ถูกขว้างสามารถที่จะแตกเป็นพันๆชิ้นได้แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับอากาศ ในแจกันนั้น มันแค่สูญเสียรูปทรงของมันเท่านั้น

เมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น ร่างกายของพระองค์เท่านั้นที่ตาย แต่พระวิญญาณของพระเยซู หรือที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าไม่มีทางตาย พระเจ้าได้ทรงสวมสภาพของมนุษย์โดยทางของพระเยซู พระองค์ทรงสวมรูปร่างของมนุษย์ แต่พระเยซูก็ไม่เคยที่จะเป็นเพียงแค่มนุษย์เท่านั้น

บนไม้กางเขน พระเยซูได้ทรงจ่ายแทนค่าความผิดบาปของเรา และทรงนำสิ่งที่กั้นขวางระหว่างเรากับ พระเจ้าออกไป และโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เรากลับมามีสันติสุขกับพระเจ้าได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่า เราเองเป็นผู้ทำความผิด แต่ความยุติธรรมของพระเจ้าก็ถูกทำให้สำเร็จแล้วโดยพระเยซูผู้ซึ่งเป็นลูกแกะ ของพระเจ้าที่ได้ทรงรับการทนทุกข์ทรมานแทนเรา (พระเจ้าทรงพิพากษาคนผิด พระเยซูทรงรับโทษ แทนเรา เราจึงไม่ต้องรับโทษ-ผู้แปล) และความรักของพระเจ้าก็ได้สำแดงออกอย่างเต็มที่ในการที่พระเยซู ได้ทรงให้ชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อเราอย่างเต็มพระทัย

เราอาจจะบอกว่า “มันไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะ” จริงๆคุณก็พูดถูกนั่นแหละ เราไม่สมควารจะได้รับการไถ่ โดยการตายของพระเยซูเลย แต่ว่านี่เป็นทางแก้ปัญหาที่พระเจ้าทรงมีให้เรา เราจะเป็นคนที่บอกกับพระเจ้า หรือว่า จริงๆมันควรจะเป็นอย่างไร?

พระเยซูได้ทรงจ่ายแทนโทษแห่งความตายของเราเพื่อเรา เพื่อเราจะไม่จำเป็นต้องตายเพราะความผิดบาป ของตัวเอง พระองค์ทรงต้องการให้เราเข้ามาสู่การมีความสัมพันธ์กับพระองค์ เพื่อที่จะรู้จักกับความรักของ พระองค์และมีชีวิตนิรันดร์

มีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง ที่จะช่วยให้เราเข้าใจว่าพระเยซูได้ทรงทำอะไรเพื่อเรา

มีผู้พิพากษาคนหนึ่ง เขามีความยุติธรรม มีความ เที่ยงตรง ผู้ซึ่งจะไม่รับสินบนใดๆ มีหญิงสาว คนหนึ่งถูกนำเข้ามาหน้าบัลลังก์พิพากษา บท ลงโทษที่เธอคนนี้สมควรจะได้รับก็คือจำคุก ตลอดชีวิตหรือค่าปรับจำนวนมหาศาลซึ่งเธอ เองก็ไม่มี

ผู้พิพากษาถามเธอว่า “เธอเป็นผู้ทำผิด จริงใช่หรือไม่?”
เธอร้องขึ้นว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ดิฉัน ไม่สามารถรับโทษจำคุกหรือรับโทษ ด้วยการจ่ายเงินจำนวนนั้น เมตตาดิฉัน ด้วยเถอะ”
ผู้พิพากษาพูดขึ้นอีกว่า “ศาลกำลังถามว่า เธอเป็นผู้ทำผิดจริงหรือไม่ เธอจะสารภาพไหม?”
สุดท้ายหญิงสาวคนนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ใช่แล้ว ดิฉันคือผู้ที่ทำความผิดจริง”
ผู้พิพากษาจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอเองต้องรับโทษด้วยการถูกจำคุกตลอดชีวิตหรือ จ่ายเงิน จำนวนนั้นเสีย” หลังจากนั้นผู้พิพากษาก็สั่งปิดคดี

หญิงสาวคนนั้นก็เริ่มกรีดร้องและคร่ำครวญและเจ้าหน้าที่ก็ลากเธอออกจากห้องพิจารณาคดีไปจำขังไว้ในคุก ผู้พิพากษาก็ถอดเสื้อคลุมของศาลออก เดินออกจากห้องพิจารณาคดี และเดินไปที่ห้องการคลังของศาลแห่งนั้น และที่ห้องการคลังนั้นเองที่ท่านผู้นี้ได้จ่ายเงินทั้งหมดที่ท่านมีเพื่อเป็นค่าไถ่ให้แก่หญิงสาวคนนั้น เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะว่า ท่านรักหญิงสาวคนนั้นมาก เธอคือลูกสาวของท่าน และท่านได้ช่วยจ่ายแทน การลงโทษของหญิงสาวคนนั้นด้วยตัวของท่านเอง ด้วยทุกสิ่งที่ท่านมีเลยทีเดียว

เมื่อผู้พิพากษาได้ถอดเสื้อคลุมสำหรับศาลออก ท่านก็กลายเป็นเหมือนคนอื่นๆทั่วไป นั่นเป็นสิ่งที่พระเยซู ทรงทำเช่นกัน พระองค์ทรงลงมาจากสวรรค์ ถอดเสื้อคลุมแห่งพระสง่าราศีของพระองค์เสีย และได้กลาย เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ และได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อที่ความบาปนั้นจะไม่เป็นเหตุกล่าวโทษเรา และทำให้เราถูกแยกจากพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์ได้อีก

ผู้เผยพระวจนะทุกคนได้กล่าวว่าพระเยซูจะมาและสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของคนทั้งโลก พระเยซูทรงเป็น ความหวังเดียวเท่านั้นสำหรับมวลมนุษยชาติที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์

กลับมาที่แรกเริ่มคืออาดัมกับเอวา พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า พงศ์พันธ์ของหญิงนั้นจะขยี้หัวของซาตาน ให้แหลก และมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการไถ่ให้รอด การสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์ของพระเยซูมี ชัยชนะเหนืออำนาจของซาตานแล้ว พระเยซูทรงมีชัยชนะเหนือความผิดบาป ความตายและการถูกตัดขาด ระหว่างเรากับพระเจ้าแล้ว และทรงนำการบดขยี้ไปสู่ซาตานแล้ว

6. พระเยซูและอิสลาม: ทำไมเราจึงไม่ถือว่าพระเยซูเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะเท่านั้น?

มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้คือที่เรารู้ เกี่ยวกับพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ - ทรงดำรงอยู่เสมอ ทรงดำรงอยู่ ในปัจจุบัน และจะดำรงอยู่เสมอไป
พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ - ปราศจากข้อผิดพลาด ทรงสมบูรณ์แบบ
พระเจ้าทรงเป็นความจริง - พระดำรัสของพระองค์ดำรง อยู่เสมอ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นความจริงที่ยึดถือได้
พระเจ้าทรงเป็นปัจจุบัน – ทรงอยู่ทุกหนแห่ง และอยู่ ตลอดเวลา
พระเจ้าทรงฤทธานุภาพ - ฤทธานุภาพของพระองค์ ไม่มีขอบเขตจำกัด
พระเจ้าทรงสัพพัญญู - ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่เสมอตลอดเวลา
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง - ไม่มีสิ่งใดซึ่งเป็นอยู่ ที่พระองค์มิได้ทรงสร้าง

มีพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวและสิ่งที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นก็เป็นความจริงเกี่ยวกับพระองค์ เราทราบสิ่งนี้ เพราะพระคัมภีร์ได้เปิดเผยให้เรารู้ว่าสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วเป็นความจริงแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงเลือกที่จะ เปิดเผยพระองค์เองให้มวลมนุษชาติรู้เกี่ยวกับพระองค์ คือการสำแดงความจริงเหล่านี้เกี่ยวกับพระองค์เองแก่เรา

พระคัมภีร์ยังแสดงให้เราเห็นว่า พระเยซูเองก็ทรงมีพระลักษณะทั้งสิ้นเหล่านี้แห่งพระเจ้าในพระองค์เองด้วย และเป็นเช่นเดียวกันในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ยกตัวอย่างในเรื่องของความเป็นนิรันดร์

พระคัมภีร์ได้กล่าวเกี่ยวกับพระเยซูเอาไว้ว่า “ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสิ่ง ทั้งปวงขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ”12

และยังกล่าวอีกว่า “ พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งใด้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”13

แต่ถ้าหากว่า มีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น แล้วพระเยซูจะเป็นพระเจ้าด้วยได้อย่างไร?

ในโลกนี้ เราอยู่ในโลกที่มีเพียงสามมิติเท่านั้น เราแต่ละคนมีมิติของความสูง ความกว้าง และความลึก คนสองคนอาจจะดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน พวกเขาอาจจะมีความสนใจ หรืออาชีพที่ คล้ายคลึงกัน แต่ใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนใครอีกคนได้ พวกเขามีความเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามในกรณีของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นอยู่นอกเหนือจักรวาลสามมิติที่เราอยู่นี้ พระองค์ ทรงเป็นพระวิญญาณ และพระองค์ทรงมีความซับซ้อนอย่างไม่จำกัดมากกว่าพวกเรา นั่นเป็นเหตุผล ที่ว่า พระเยซูพระบุตรสามารถที่จะทรงเป็นในแบบที่แตกต่างจากพระจ้าพระบิดา แต่ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน

พระคัมภีร์ได้พูดเอาไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระวิญญาณ บริสุทธิ์ แต่ก็ได้พูดเอาไว้อีกว่า มีพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้าเราจะเขียนเป็นสูตรทาง คณิตศาสตร์ มันจะไม่ใช่ 1+1+1=3 แต่เป็น 1x1x1=1 พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อท่านอิสยาห์ได้กล่าวว่า “ เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิดหญิงสาว คนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล”14 คำว่า อิมมานูเอล มีความหมายตามตัวอักษรคือ “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

พระเยซูตรัสว่า การรู้จักพระองค์ก็คือการรู้จักพระเจ้า การได้เห็นพระองค์คือการได้เห็นพระเจ้า การเชื่อในพระองค์ก็คือการเชื่อในพระเจ้า

ถ้าอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูมากขึ้น และการที่พระองค์ได้ทรงพิสูจน์สิ่งที่พระองค์ได้ตรัส อย่างไร ให้เข้าไปดูที่บทความชื่อ “เชื่ออย่างมีเหตุผล”

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งอื่นอีกที่คุณควรรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คือพระองค์ทรงรักคุณและทรงห่วงใยในชีวิตของคุณ

พระเยซูทรงบอกเราว่า “ พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรัก ของเรา ถ้าท่านทั้งหลาย ประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอดยู่ในความรักของเรา เหมือนดัง ที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม”15

พระเยซูทรงเชื้อเชิญเราว่า “ บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่าน ทั้งหลาย หายเหนื่อย เป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา เพราะว่า เราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”16

จากการพยายามต่อสู้เพื่อที่จะทำเพื่อพระเจ้าอย่างเพียงพอ พระเยซูทรงเสนอเสรีภาพแบบใหม่ให้กับเรา เรามีประสบการณ์กับความรักของพระองค์ และเรามีแรงจูงใจใหม่ที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ซึ่งไม่ได้มาจากความกลัวเกรงพระองค์ แต่มาจากความชื่นชมยินดีที่ได้รู้จักพระองค์

ท่านเปาโล ซึ่งเป็นผู้ติดตามพระเยซูคนหนึ่ง ได้มีประสบการณ์เช่นนี้ และได้แสดงความเห็นเอาไว้ว่า

“ เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ใน ปัจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลาย ขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซู คริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”17

ถ้าคุณอยากจะเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูทรงเสนอให้กับคุณ มากยิ่งขึ้น ให้คลิกไปดูที่ “เชื่ออย่างมีเหตุผล”

 วิธีที่จะเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
 ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

(1) มัทธิว 5:18 (2) มัทธิว 24:35 (3) 2 ทิโมธี 3:16 (4) อิสยาห์ 40:8 (5) 2 โครินธ์ 13:1 (6) 1 ยอห์น1:1 (7) ปฐมกาล3:14-15 (8) อิสยาห์53:1-6 (9) อิสยาห์ 9:6 (10) ยอห์น1:29 (11) โรม 5:8 (12) ยอห์น1:2-3 (13) โคโลสี1:15-16 (14) อิสยาห์7:14 (15) ยอห์น 15:9-11 (16) มัทธิว 11:28-30 (17) โรม 8:38-39


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More