×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
ปริศนาชีวิต

ทำไมชีวิตเราจึงมีความยากลำบาก

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

ทำไมคนจึงเป็นมะเร็ง? ทำไมจึงมีแผ่นดินไหวซึ่งคร่าชีวิตคนทั้งเมือง? ทำไมคนเราจึงต้องทำงานหนักมากเพียงเพื่อจะได้เงินแค่เล็กน้อยจนแทบ จะไม่พอเลี้ยงครอบครัวของเขา?

เราอาจจะถามคำถามประเภทนี้ภายในจิตใต้สำนึกของเราอยู่บ่อยๆ แต่ในระดับ จิตสำนึกแล้ว เราไม่ได้ทำมันบ่อยๆนัก เรายุ่งมากกับชีวิตประจำวันของเรา จนเรา ไม่มีเวลา ที่จะหยุดคิดถึงถึงสิ่งต่างๆ และตั้งคำถามว่า ทำไม?

แล้วเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งได้ปลุกความสนใจของเราขึ้นมา ไม่ว่าสถานการณ์นั้น จะเป็น การที่พ่อแม่ของเรากำลังจะหย่ากัน เด็กสาวแถวๆบ้านถูกลักพาตัวไป หรือญาติของเราป่วยเป็นมะเร็ง สิ่งเหล่านี้ปลุกความสนใจของเราสักพักหนึ่ง แต่หลังจากนั้น บ่อยครั้งที่เราปล่อยให้ตัวเองจมกลับลงไปในการปฏิเสธความจริง นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีโศกนาฏกรรมใหม่เกิดขึ้น มีการขัดแย้งกันครั้งใหม่ หลังจากนั้นเราเริ่มจะคิดว่า บางอย่างมันไม่ค่อยถูกต้องเลยนะนี่ มีบางอย่างผิดพลาดมากเลยทีเดียว ชีวิตไม่น่าจะเป็นอะไรแบบนี้เลยนะ

แล้ว ทำไมสิ่งชั่วร้ายจึงได้เกิดขึ้น? ทำไม โลกนี้จึงไม่ดีกว่านี้เล่า?

เราพบคำตอบสำหรับคำถามว่า ทำไม จากพระคัมภีร์ แต่มันก็ไม่ใช่คำตอบที่หลายๆคนอยากจะได้ยินนักนั่นก็คือ การที่โลกเป็นเหมือนที่มันเป็นอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะเราเองนั่นแหละเป็นผู้ที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น

ฟังดูแปลกๆใช่ไหม?

อะไรหรือใคร จะสามารถทำให้โลกแตกต่างจากที่มันเป็นอยู่นี่ได้ล่ะ? อะไรหรือใคร สามารถที่จะรับประกันได้ว่า ชีวิตนี้จะไม่มีความเจ็บปวดสำหรับทุกคน ในทุกๆเวลาด้วย?

พระเจ้าทรงสามารถ พระองค์ทรงสามารถที่จะกระทำให้สำเร็จได้ แต่พระองค์ไม่ได้ทำเช่นนั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผลที่ตามมาก็คือ เราโกรธเคืองพระเจ้าที่พระองค์ไม่ได้ทำอะไร เราพูดว่า “พระเจ้า พระองค์ต้องไม่ใช่ผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจ และมีความรักมากมายเป็นแน่ เพราะถ้าพระองค์เป็นเช่นนั้นจริงๆแล้ว โลกนี้มันคงจะไม่เหมือนอย่างที่มันเป็นในตอนนี้หรอก

เราพูดเช่นนั้น เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะได้ยินและทรงจัดการอะไรบางอย่างในเรื่องนี้บ้าง เราหวังว่า ถ้าหากเราทำให้พระเจ้า ทรงรู้สึกผิด มันคงจะเป็นเหตุให้พระองค์เปลี่ยนแปลงวิธีการของพระองค์ ที่ทรงกระทำอยู่ ณ เวลานี้ ก็ได้

แต่พระองค์ดูเหมือนจะไม่มีการเคลื่อนไหวเลย ทำไม พระองค์ถึงไม่ทำล่ะ?

เหตุที่พระเจ้าไม่ได้มีการเคลื่อนไหว -- คือการที่พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงอะไรในเวลานี้ --ก็เพราะว่า พระองค์ทรงกำลังให้ตามสิ่งที่เราเรียกร้อง ซึ่งก็คือ ความต้องการโลกที่ไม่มีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องและการที่พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่มีความสำคัญกับเรา

เรารู้จักเรื่องราวของอาดัมกับเอวาไหม? พวกเขากิน “ผลไม้ต้องห้าม” ผลไม้นั้นก็คือแนวความคิดที่ว่า พวกเขาสามารถที่จะเพิกเฉยต่อพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ตรัสและที่ทรงให้กับพวกเขา และใช้ชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า เพราะอาดัมกับเอวามีความหวังเล็กๆว่า พวกเขาจะเป็นกลายเหมือนพระเจ้า โดยไม่จำเป็นต้องมีพระองค์ พวกเขารับเอาความคิดที่ว่า มีอะไรบางอย่างซึ่งดำรงอยู่ที่มีคุณค่ามากกว่าพระเจ้า และมากกว่าการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ดังนั้นระบบของโลกนี้ และความผิดพลาดทั้งหลายแหล่ของมัน ก็เกิดขึ้นจากผลการเลือกของพวกเขานั่นเอง

เรื่องราวของพวกเขาก็คือ เรื่องราวของเราทุกคน1 มิใช่หรือ? มีใครบ้างที่ไม่ได้พูด คือ-- ถ้าไม่พูดออกมาดังๆแต่อย่างน้อยก็พูดในใจล่ะ-- ว่า “พระเจ้า ฉันคิดว่าฉัน สามารถทำสิ่งนี้ได้โดยปราศจากพระองค์ ฉันจะทำสิ่งนี้ด้วยตัวฉันเอง แต่ก็ขอบคุณนะสำหรับข้อเสนอที่จะช่วย”

เราเองได้พยายามทำให้ชีวิตของเราดำเนินไปโดยปราศจากพระเจ้า แล้วทำไมเราจึงทำเช่นนั้นเล่า? อาจจะเป็นเพราะว่า เรามีแนวความคิดว่า มีอะไรบางอย่างข้างนอกนั่น ที่มีคุณค่าและความสำคัญมากยิ่งกว่าพระเจ้า แต่ละคนก็จะมี “อะไรบางอย่าง” ที่แตกต่างกันออกไป แต่แนวความคิดของเราแต่ละคนก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ พระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และในความเป็นจริงแล้ว ฉันสามารถที่จะดำเนินชีวิตของฉันทั้งหมดได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพระองค์เลยด้วยซ้ำไป

ทำไมพระเจ้าต้องตอบสนองต่อการเรียกร้องของเราด้วยล่ะ?

พระองค์ทรงอนุญาตให้มันเป็นไป มีคนหลายคนเลยทีเดียว ที่มีประสบการณ์กับความเจ็บปวดอันเป็นผลของของการตัดสินใจไม่ว่าจะเป็นของผู้อื่นหรือของตนเอง ซึ่งได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการ ให้กระทำไม่ว่าจะเป็น การฆาตกรรม การล่วงละเมิดทางเพศ ความโลภ การโกหกหลอกลวง/การต้มตุ๋น การใส่ร้ายป้ายสี การผิดประเวณี การลักพาตัวเพื่อค่าไถ่ เป็นต้น สาเหตุของสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้น อธิบายได้ดังนี้ ว่า เป็นเพราะผู้คนได้ปฏิเสธที่จะให้พระเจ้าทรงมีหนทางหรือมีอิทธิพลในชีวิตของพวกเขานั่นเอง พวกเขาดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เห็นว่ามันเหมาะสมกับเขา และตัวของเขาเองหรือผู้อื่นก็ต้องทนทุกข์เพราะการกระทำเช่นนั้น

แล้วพระเจ้าทรงคิดเห็นว่าอย่างไร ต่อสิ่งเหล่านี้? พระเจ้าไม่ได้ทรงพออกพอใจกับสิ่งเหล่านี้เลย ถ้าเราเห็นพระองค์ในภาพของความเป็นจริงได้ เราคงจะเห็นว่า พระองค์นั้นทรงรอคอยด้วยความเมตตา ทรงมีความหวังว่าเราจะหันมาหาพระองค์เพื่อที่จะโปรดประทานชีวิตที่แท้จริงให้กับเรา พระเยซูตรัสว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา เราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อย เป็นสุข”2 แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจที่เข้าไปหาพระองค์ พระเยซูทรงแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไว้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าจนถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ”3 และอีกครั้งที่พระเยซูทรงหยิบยกประเด็นเรื่องนี้ มาสู่เรื่องความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ ว่า “...เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”4

แต่ถ้าหากว่า เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมของชีวิต? หรือเรื่องสถานการณ์อันเลวร้ายที่เข้ามากระทบชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผลจากการกระทำของคนอื่นที่ไม่ใช่เราล่ะ? เมื่อเรารู้สึกว่า เราตกเป็นเหยื่อ ความรู้ที่ว่า พระเจ้าเองก็ทรงอดทนอย่างมากกับความเลวร้ายที่ผู้อื่นกระทำต่อพระองค์นั้น ช่วยเรื่องความรู้สึกของเราได้มากทีเดียว พระเจ้าทรงเข้าใจยิ่งกว่าเข้าใจว่าคุณกำลังเผชิญอยู่กับสถานการณ์ชนิดไหน

ไม่มีประสบการณ์ใดในชีวิตอีกแล้วที่จะเจ็บปวดได้มากยิ่งกว่าสิ่งที่พระเยซูได้ทรงอดทนกับมันแทนเรา เมื่อพระองค์ทรงถูกเพื่อนของพระองค์ทอดทิ้ง ทรงถูกเยาะเย้ยจากเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อในพระองค์ ทรงถูกเฆี่ยนตี และถูกทรมานก่อนการถูกตรึง ถูกตอกตะปูแขวนไว้ที่ไม้กางเขนอย่างน่าละอาย ในท่ามกลางสายตาของฝูงชน และการสิ้นพระชนม์ด้วยการขาดอากาศหายใจอย่างช้าๆ พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเรา แต่ ก็ทรงยอมให้มนุษย์มีอิสระที่จะกระทำการเช่นนี้ต่อพระองค์ เพื่อที่จะให้พระวจนะที่เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์นั้นเป็นความจริงและเพื่อที่จะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความบาปของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับพระองค์เลย พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น ทรงทราบล่วงหน้าแล้วถึงรายละเอียดของมัน ความเจ็บปวดของมัน และความน่าละอายของมันด้วย “เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ก็พาเหล่าสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และตรัสกับเขาตามทางว่า ‘เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้น จะปรับโทษท่านถึงตาย และ จะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติให้เยาะเย้ยเฆี่ยนตี และให้ตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สามท่านจึงจะกลับฟื้นขึ้น มาใหม่’ ”5

ลองจินตนการดูว่า ถ้ามีสิ่งที่เลวร้ายมากๆเช่นนั้นที่จะเกิดกับคุณบ้างล่ะ จะเป็นอย่างไร พระเยซูทรงเข้าพระทัยถึงความทุกข์ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในคืนนั้น ที่พระเยซูทรงทราบว่าเขาจะจับกุมพระองค์ พระองค์ได้ทรงเสด็จไปอธิษฐานโดยพาเพื่อนบางคนของพระองค์ไปด้วย “พระองค์ก็พาเปโตรและบุตรทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก จึงตรัสกับเขาว่า ‘ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้า(ตื่นอยู่) อยู่กับเราที่นี่เถิด’ แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน อธิษฐานว่า ‘โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ ขอให้ถ้วยนี้ เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นตามพระทัยของพระองค์’ ”6 แม้ว่าพระเยซูจะทรงไว้วางพระทัยเพื่อนทั้งสามคนของพระองค์ก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจถึงขนาดของความทุกข์ทรมานที่พระองค์จะทรงได้รับ และเมื่อพระเยซูทรงกลับมาจากการอธิษฐานของพระองค์ พระองค์ก็พบว่าพวกเขาหลับไปเสียแล้ว พระเยซูทรงเข้าพระทัยว่า การเข้าไปสู่ความเจ็บปวดและความเศร้าพระทัยอย่างใหญ่หลวงแต่เพียงลำพังนั้นเป็นอย่างไร

ยอห์นได้สรุปสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านบรรยายไว้ในพระกิตติคุณเล่มที่ท่านเขียนว่า “พระองค์ทรงอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่ พระองค์ได้เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า”7 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่ มีชีวิตนิรันดร์”8

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกนี้มีความเจ็บปวดและการทนทุกข์ บ้างก็สามารถอธิบายได้ว่าเป็นผลมาจากความเห็นแก่ตัว การกระทำด้วยความเกลียดชังของผู้อื่น บ้างก็ไม่สามารถที่จะให้คำอธิบายได้เมื่อเรายังอยู่ในชีวิตนี้ แต่พระเจ้าทรงเสนอพระองค์เองให้กับเรา พระองค์ทรงให้เราได้รับรู้ว่า พระองค์เองก็ทรงอดทนต่อความทุกข์เช่นเดียวกัน และทรงรับทราบถึงความเจ็บปวดและความต้องการที่แท้จริงของเรา พระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราซึ่งให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและ อย่ากลัวเลย”8 มันดูมีเหตุมีผลที่เราจะมีความกลัว มีความวุ่นวายใจ แต่พระเจ้าทรงสามารถที่จะประทานสันติสุขของพระองค์ให้แก่เรา ซึ่งสิ่งนี้ยิ่งใหญ่มากกว่าปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเรา เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว พระองค์คือพระผู้สร้าง ผู้ซึ่งทรงดำรงอยู่ตลอดมาและผู้ซึ่งทรงสร้างกัลปจักรวาลนี้ขึ้นมาอย่างง่ายดาย

และแม้ว่าพระองค์นั้นทรงฤทธานุภาพมากแค่ไหน แต่พระองค์ก็ยังทรงรู้จักตัวเราอย่างถ่องแท้ แม้ในสิ่งที่เล็กที่สุดหรือที่ดูไม่มีสำคัญที่สุดก็ตาม และถ้าหากเรามอบชีวิตของเราไว้กับพระองค์และพึ่งพาในพระองค์ แม้ว่าเราจะกำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากอยู่ก็ตาม พระองค์จะทรงยึดเราเอาไว้อย่างมั่นคง พระเยซูตรัสว่ “เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิดเพราะว่า เราได้ชนะโลกแล้ว”10 พระองค์ทรงผ่านสิ่งที่เรากลัวมากที่สุด นั่นก็คือความตาย และทรงมีชัยชนะเหนือมัน ทรงสามารถที่จะนำเราให้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากต่างๆในชีวิตนี้ได้ และต่อจากนั้นก็จะทรงนำเราเข้าสู่การมีชีวิตนิรันดร์ ขอเพียงให้เราไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น

เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตของเราแบบมีพระเจ้าหรือปราศพระเจ้าก็ได้ พระเยซูทรงอธิษฐานเช่นนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา ข้าพระองค์ได้กระทำให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา”11

ถ้าคุณอยากค้นพบวิธีที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า กรุณาคลิกไปดูที่ รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว.

 วิธีที่จะเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
 ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

(1) “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง” [พระคัมภีร์ อิสยาห์ 53:6] “ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า” [พระคัมภีร์ โรม 3:11] (2) มัทธิว11:28 (3) มัทธิว23:37 (4) ยอห์น 8:12 (5) มัทธิว 20:17-19 (6) มัทธิว 26:37-39 (7) ยอห์น 1:10-12 (8) ยอห์น 3:17,16 (9) ยอห์น 14:27 (10) ยอห์น 16:33 (11) ยอห์น 17:25-26


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More