×
ค้นหา
EveryThaiStudent.com
ค้นหาเรื่องพระเจ้าและคำถามในชีวิต
ปริศนาชีวิต

พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหนยามเมื่อเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก?

เมื่อต้องเผชิญกับความกลัว โศกนาฏกรรม ความหายนะและความเศร้าเสียใจ เราจะหากำลัง จากภายในได้จากที่ไหน? เราจะไว้วางใจพระเจ้าในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?

WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More PDF

เราสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้มากแค่ไหนว่าพระองค์ ทรงอยู่กับเรา? พระองค์ทรงเป็นบุคคลนั้นผู้ที่เรา สามารถหันหน้าเข้าไปพึ่งพาได้ทั้งในยามวิกฤต และในยามสุขสงบ แน่หรือ?

ในโศกนาฏกรรม ความหายนะ ความเศร้าเสียใจ : พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?

พระเจ้า ทรงเป็นพระผู้สร้างกัลปจักรวาลนี้ขึ้นมา ผู้ทรงปรารถนาให้เรารู้จักกับพระองค์ นั่นคือ สาเหตุที่เราทุกคนบังเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงต้องการให้เราพึ่งพาพระองค์และได้มีประสบการณ์กับกำลัง ความรัก ความยุติธรรม ความบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์และความเมตตาสงสารของพระองค์ พระองค์จึงได้ตรัสกับผู้ที่เต็มใจทำในสิ่งเหล่านี้ว่า “จงมาหาเรา”

พระเจ้านั้นไม่เหมือนเราตรงที่ว่า พระองค์ทรงล่วงรู้ทุกอย่างว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า ปีหน้าหรือในศตวรรษหน้า พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้า และไม่มีอื่นใดเหมือนเรา ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบ ตั้งแต่เริ่มต้น”1 พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก ทรงล่วงรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในชีวิตของเรา และพระองค์ทรงสามารถที่จะอยู่ที่นั่นกับเราได้ ถ้าเราเลือกที่จะรวมพระองค์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา พระองค์ทรงบอกกับเราว่า พระองค์ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก”2 แต่เราจำเป็นต้องพยายามอย่างจริงใจที่จะแสวงหาพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะแสวงหาและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจ”3

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่รู้จักกับพระเจ้า จะไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากแต่อย่างใดเลย เมื่อมีการก่อการร้ายซึ่งเป็นเหตุให้มีความทุกข์ทรมานและความตาย ผู้ที่รู้จักพระเจ้าเหล่านั้นก็ต้องร่วมเผชิญความทุกข์ทรมานนั้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาจะมีสันติสุขและกำลังที่ได้รับจากการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์คนหนึ่งได้พูดไว้อย่างนี้ว่า “เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญา แต่ก็ไม่ถึงกับหมดมานะ เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้วแต่ก็ไม่ถึงตาย”4 ความเป็นจริงทำให้เรารู้ว่าเราจะต้องประสบกับปัญหาหลายอย่างในชีวิต อย่างไรก็ตาม ถ้าเราก้าวผ่านปัญหาเหล่านั้นโดยการรู้จักกับพระเจ้า เราก็สามารถที่จะตอบสนองต่อปัญหาต่างๆด้วยมุมมองที่แตกต่างจากเดิมและด้วยกำลังที่ไม่ได้เกิดมาจากตัวของเราเอง ไม่มีปัญหาใดที่ใหญ่เกินกว่าพระเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าปัญหา ทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเรา และเราก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้รับมือกับปัญหาแต่เพียงลำพังด้วย

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “พระเจ้าประเสริฐทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งในวันยากลำบาก พระองค์ทรงรู้จักผู้ที่เข้ามาลี้ภัยอยู่ในพระองค์”5 และ “พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ผู้ที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง พระองค์ทรงโปรดตามความปรารถนาของบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์ พระองค์ทรงฟังเสียงร้องทูลของเขาด้วย และทรงช่วยเขาให้รอด”6

พระเยฃูคริสต์ทรงกล่าวคำปลอบประโลมเหล่านี้แก่พวกสาวกว่า “นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็มีค่ากว่านกกระจอกหลายตัว”7 ถ้าเราหันหน้าไปหาพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว พระองค์จะทรงดูแลห่วงใยเราอย่างที่ไม่มีใครเคยทำและอย่างที่ไม่มีใครสามารถทำ ได้ด้วย

โศกนาฏกรรม ความหายนะ ความเศร้าเสียใจ : เจตจำนงเสรีของเรา

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาพร้อมกับความสามารถที่จะเลือก นี่หมายความว่า เราไม่ได้ถูกบังคับให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ทรงอนุญาตให้เราปฎิเสธพระองค์ได้และทรงยอมให้เรา ทำสิ่งที่ชั่วร้ายด้วย พระองค์ทรงสามารถบังคับให้เราเป็นคนที่ เปี่ยมด้วยความรัก บังคับให้เราเป็นคนดีก็ได้ แต่ลองคิดดูสิว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระองค์จะเป็นแบบใด มันคงจะ ไม่ใช่ความสัมพันธ์แต่เป็นการบังคับ คือการเชื่อฟังที่ถูกควบคุม อย่างสิ้นเชิง แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงให้เกียรติแห่งความ เป็นมนุษย์แก่เราด้วยการให้เรามีเจตจำนงเสรีของเราเอง

โดยธรรมชาติแล้ว ลึกๆในจิตวิญญาณของเรามักร้องว่า... “แต่ พระเจ้าข้า พระองค์ทรงอนุญาตให้บางอย่างที่ใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” เราต้องการให้พระเจ้าทรงกระทำการอย่างไร? เราต้องการให้พระองค์ทรงควบคุมการกระทำของมนุษย์ทุกคนหรือ? ตัวอย่างเรื่องการรับมือกับการก่อการร้าย พระเจ้าจะอนุญาตให้มีการสูญเสียชีวิตของผู้คนสักกี่คนก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำอะไรบางอย่าง? เราจะรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ ถ้าพระองค์อนุญาตมีให้การสูญเสียชีวิตหลายร้อยคน หรือเราจะรู้สึกดีกว่าถ้าหากพระเจ้าอนุญาตให้มีเพียงแค่คนเดียวที่เสียชีวิตเท่านั้น? แท้จริงถ้าพระเจ้าทรงป้องกันไม่ให้มีการคร่าชีวิตแม้เพียงแค่ชีวิตเดียว เมื่อนั้นเสรีภาพในการเลือกของมนุษย์ก็จะหมดไปทันที มนุษย์เลือกที่จะไม่สนใจพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ เลือกที่จะทำสิ่งที่ตนเองต้องการและได้ทำสิ่งเลวร้ายเพื่อต่อผู้อื่น

โศกนาฏกรรม ความหายนะ ความเศร้าเสียใจ : โลกของเรา

โลกนี้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับเรา บางคนอาจยิงเรา เราอาจถูกรถชน เราอาจต้องกระโดดลงจากตึกเพื่อหนีการโจมตีของผู้ก่อการร้าย หรือสิ่งต่างที่อาจเกิดขึ้นกับเราในสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายที่เรียกว่าโลกใบนี้ ที่ซึ่งคนไม่ได้ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

พระเจ้าทรงมีพระเมตตามากมาย ซึ่งไม่เหมือนความเมตตาของมนุษย์ นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เราอยู่ในพระเมตตาของพระองค์ พระเจ้าองค์นี้คือผู้ทรงสร้างจักรวาลที่พร้อมมูลด้วยดวงดาวเหลือคณานับ เพียงแค่ตรัสว่า “จงให้มีดวงสว่างบนพื้นฟ้าอากาศเพื่อแยกวันออกจากคืน”8 นี่คือพระเจ้าผู้ซึ่งทรงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงครอบ ครองเหนือนานาประชาชาติ9 พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์เดชและสติปัญญาอย่างไม่มีขีดจำกัด ถึงแม้ว่า ปัญหาที่เข้ามาในชีวิตจะดูยิ่งใหญ่เกินกว่ากำลังของเรา แต่เรามีพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สามารถที่จะทำทุกสิ่งได้ ทรงอยู่กับเรา พระองค์ทรงเตือนให้เราระลึกถึงว่า “ดูเถิด เราคือพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของบรรดาเนื้อหนังทั้งสิ้น สำหรับเรามีสิ่งใดที่ยากเกินหรือ”10 พระองค์สามารถให้อิสรภาพของคนบาปดำเนินอยู่ต่อไป แต่ในขณะเดียวกันก็ชักนำสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์เข้ามาสู่มนุษยชาติด้วย พระเจ้าทรงกล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราพูดแล้ว และเราจะให้เป็นไป เรามุ่งแล้ว และเราจะกระทำด้วย11 และเราสามารถรับการปลอบประโลมใจได้ถ้าเรามอบถวายชีวิตของเราแด่พระองค์ “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ ใจถ่อม”12

ในความกลัว โศกนาฏกรรม ความเศร้าเสียใจ : เวลานี้ พระเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?

เราหลายๆคน... ไม่ใช่สิ เราทุกคนบางครั้งเลือกที่จะบังคับพระเจ้าและบิดเบือนหนทางของพระองค์ ถ้าเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่น ที่แน่ๆถ้าเทียบกับผู้ก่อการร้ายแล้วละก็ เราคงจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่น่า นับถือและเป็นคนที่มีความรัก แต่ถ้ามองดูที่จิตใจของเราให้เหมือนกับว่าเรากำลังเผชิญหน้าอยู่กับพระเจ้า เราก็ต้องยอมรับอย่างจริงใจว่าเราเองมีความบาปอยู่ในจิตใจ เมื่อเราเริ่มเอ่ยพระนามของพระเจ้าในคำอธิษฐาน เราไม่ต้องหยุดเว้นระยะสักพักก่อนที่จะพูดอะไรกับพระองค์ต่อไปด้วยความรู้สึกที่ว่า พระเจ้าทรงทราบความคิดต่างๆ การกระทำทั้งหลายและการให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรา หรอกหรือ? เราเอง...โดยชีวิตและความคิดของเรา ทำให้ตัวเราอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า หลายครั้งที่เราดำเนินชีวิตเหมือนกับว่าเราอยู่อย่างสงบสุขดีได้ โดยปราศจากพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง”13

ผลของมันน่ะหรือ? ความบาปของเราได้แยกเราจากพระเจ้า และมันส่งผลกระทบไม่ใช่แค่ในชีวิตนี้เท่านั้น โทษของความบาปนั้นคือความตาย หรือการถูกตัดขาดเป็นนิรันดร์จากพระเจ้า อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางที่เราจะได้รับการอภัยโทษบาป และจะได้รู้จักกับพระองค์

กำลังจากภายในโดยผ่านทางความรักของพระเจ้า

พระเจ้าเสด็จมาบนโลกนี้เพื่อช่วยกู้เรา “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ใดที่เชื่อใน พระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”14

พระเจ้าทรงทราบถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เรา ต้องเผชิญบนโลกใบนี้ พระเยซูทรงยอมละทิ้งความปลอดภัย และความมั่นคงในบ้านของพระองค์ และลงมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากบนโลกที่เราอยู่นี้ด้วยกันกับเรา พระเยซูทรงเหน็ดเหนื่อย ทรงรู้จักความหิวและความกระหาย ทรงถูกกล่าวหาจากผู้อื่นและทรงถูกขับไสจากคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงของพระองค์ แต่พระเยซูทรงมีประสบการณ์ในความยากลำบากที่มากกว่าความทุกข์ยากประจำวันของชีวิตเสียอีก พระเยซู... พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดในร่างกายมนุษย์ ทรงยอมที่จะแบกรับความผิดบาปของเราไว้ที่พระองค์เองและทรงจ่ายแทนความผิดบาปของเราแทนเราด้วยความเต็มพระทัย “ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรักของพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย”15 พระองค์ต้องผ่านการถูกทรมาน เผชิญความตายอย่างน่าอับอาย ทรงสิ้นพระชนม์อย่างช้าๆด้วยการขาดอากาศหายใจเมื่อถูกแขวนบนกางเขนนั้น เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้รับการอภัยโทษบาป

พระเยซูทรงบอกผู้อื่นเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพระองค์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสอีกว่าสามวันหลังจากสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์จะเป็นขึ้นจากความตายเพื่อพิสูจน์ว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ไม่ได้บอกว่าพระองค์จะกลับมาเกิดใหม่สักวันหนึ่ง (ซึ่งถ้าเป็นจริง ใครจะรู้ว่าพระองค์กระทำอย่างนั้นจริงหรือไม่?) พระองค์ตรัสว่าหลังจากทรงถูกฝังแล้วสามวัน พระองค์จะทรงปรากฎกายที่ยังเป็นอยู่แก่ผู้ที่เห็นการถูกตรึงบนกางเขนของพระองค์ ในวันที่สาม อุโมงค์ที่วางพระศพของพระเยซูนั้นว่างเปล่าและมีผู้คนมากมายได้เป็นพยานถึงการ ที่ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นขึ้นมานั้น

ตอนนี้พระองค์ทรงเสนอชีวิตนิรันดร์ให้แก่เรา เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อที่จะได้รับมัน ชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงเสนอว่าจะให้กับเรา เมื่อเราทูลเชิญพระองค์ให้เข้ามาในชีวิตของเรา “แต่ของประทานของพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”16 ถ้าเรากลับใจใหม่จากบาปของเราและกลับมาหาพระเจ้าเราจะได้รับของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ มันเข้าใจได้ง่ายๆอย่างนี้ว่า “พระเจ้า ได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์นี้แก่เราและชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต17 พระองค์ทรงต้องการที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา

กำลังจากภายในโดยผ่านทางแผนการของพระเจ้า

สวรรค์นั้นเป็นอย่างไรล่ะ? พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พระองค์ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์”18 บางทีเรา อาจจะรู้อยู่ภายในจิตใจของเราว่า โลกที่ดีกว่านี้มันควรจะเป็นอย่างไร การเสียชีวิตคนที่เรารักทำให้เราคิดได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้องในชีวิตนี้และในโลกใบนี้ สักที่หนึ่งในส่วนลึกของจิตใจ เรารู้ว่าต้องมีที่อยู่ที่ดีกว่านี้แน่ๆ ที่ซึ่งปราศจากความทุกข์ลำบากและความเจ็บปวดที่บีบคั้นหัวใจของเรา แน่ใจได้ว่าพระเจ้าทรงมีที่ๆดีกว่านี้ซึ่งจะประทานให้แก่เรา โลกใหม่ซึ่งมีระบบที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากระบบของโลกนี้ ที่ซึ่งทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากดวงตาของผู้คน ที่นั่นจะไม่มีการคร่ำครวญ การร้องไห้ความตายหรือความเจ็บปวดอีกต่อไป19 และพระเจ้า...โดยพระวิญญาณของพระองค์จะสถิตอยู่ในชีวิตของทุกคน ในแบบที่จะทำให้พวกเขาไม่ทำบาปอีกเลย20

เหตุการณ์ที่เกิดจากการก่อการร้ายนั้นน่าหวั่นกลัวเพียงพออยู่แล้ว แต่การปฏิเสธความสัมพันธ์นิรันดร์กับพระเจ้าซึ่งพระเยซูทรงเสนอให้นั้นน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นเสียอีก ไม่ใช่แค่มองในแง่ของชีวิตนิรันดร์เท่านั้นแต่ในแง่ของความสัมพันธ์กับพระเจ้าซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ใดๆอีกแล้วในชีวิตนี้ที่สามารถเปรียบเทียบกันได้ พระองค์ทรงเป็นเป้าหมายชีวิตของเรา ทรงเป็นแหล่งของการปลอบประโลมใจ ทรงเป็นสติปัญญาของเราในช่วงเวลาที่สับสน ทรงเป็นกำลังและเป็นความหวังของเรา “ขอเชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ คนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข”21

บางคนได้กล่าวเอาไว้ว่าพระเจ้าเปรียบเสมือนไม้เท้าที่ค้ำจุนเรา แต่พระองค์น่าจะทรงเป็นเพียงผู้เดียวที่เราสามารถไว้วางใจได้

พระเยซูกล่าวว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย”22 สำหรับเขาเหล่านั้น ผู้ที่พึ่งพิงในพระยซูตลอดชั่วชีวิตของเขา พระองค์ตรัสว่าเปรียบเสมือนผู้ที่สร้างชีวิตของคุณไว้บนฐานศิลา ไม่ว่าคุณต้องพบกับวิกฤตการณ์อย่างใดก็ตามในชีวิต พระองค์จะทรงทำให้คุณยืนหยัดอยู่ได้

กำลังจากภายในโดยผ่านทางพระบุตรของพระเจ้า

คุณสามารถที่จะต้อนรับพระเยซูเข้ามาชีวิตของคุณได้เดี๋ยวนี้ “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของ พระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์”23 เราสามารถ กลับคืนไปหาพระเจ้าได้โดยทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึง พระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”24 พระเยซูทรงเชิญชวน เราว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”25

ในเวลานี้ คุณสามารถเชิญพระเจ้าให้เข้ามาในชีวิตของคุณได้โดยการอธิษฐาน การอธิษฐานหมายถึง การพูดกับพระเจ้าอย่างจริงใจ ตอนนี้คุณสามารถร้องเรียกหาพระเจ้า ด้วยการบอกกับพระองค์โดยใช้คำพูดจากใจจริงของคุณในทำนองนี้ได้ว่า

“ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าหันหน้าหนีจากพระองค์ในจิตใจของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการกระทำนั้น ข้าพเจ้าอยากรู้จักพระองค์ ต้องการต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์และรับการอภัยโทษบาปของพระองค์เข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ต้องการถูกแยกจากพระองค์อีกต่อไป ขอทรงโปรดเป็นพระเจ้าในชีวิตของข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเถิด ขอขอบพระคุณพระองค์”

ตอนนี้ คุณได้ต้อนรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิตด้วยความจริงใจแล้วหรือยัง? ถ้าคุณได้ทำแล้ว คุณมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องตั้งตาคอยเลยทีเดียว พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทำให้ชีวิตในปัจจุบันของคุณเป็นชีวิตที่มีความพึงพอใจมากยิ่งกว่าก่อนที่คุณจะได้รู้จักกับพระองค์26 พระเจ้าอยู่ที่ไหนแล้วเวลานี้? พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงสถิตอยู่ในชีวิตของคุณ27 และประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่คุณด้วย28

ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัวคุณ พระเจ้าทรงสามารถที่จะอยู่เคียงข้างคุณที่นั่น แม้ว่ามนุษย์ไม่ดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้า พระเจ้าทรงสามารถนำสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นออกไปและนำแผนการของพระองค์เข้ามาแทนที่ ได้ พระองค์ทรงควบคุมอยู่เหนือเหตุการณ์ใดๆในโลกนี้อย่างแท้จริง ถ้าคุณเป็นของพระเจ้า คุณสามารถวางใจได้ตามพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “พระเจ้าทรงช่วยให้คนทั้งหลายที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”29

พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้อย่าให้ใจของท่านวิตกและอย่ากลัวเลย ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยากแต่จงชื่นใจเถิดเพราะว่า เราได้ชนะโลกแล้ว”30 พระองค์ทรงสัญญาว่าจะไม่ทำให้เราผิดหวังในพระองค์หรือทรงทอดทิ้งเราเลย31

การที่คุณจะเติบโตขึ้นในความรู้ของพระเจ้าและในน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับชีวิตของคุณ ขอให้คุณอ่านจากพระคัมภีร์ในหนังสือที่ชื่อ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น

 ฉัน/ผมได้เชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิต (มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ดังต่อไปนี้)
 ฉัน/ผม อาจจะอยากเชิญให้พระเยซูเข้ามาในชีวิต กรุณาอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้
 ฉัน/ผม มีคำถาม หรือ ความคิดเห็น

(1) อิสยาห์ 46:9-10 (2) สดุดี 46:1 (3) เยเรมีย์ 29:13 (4) 2 โครินธ์ 4:8-9 (5) นาฮูม 1:7 (6) สดุดี 145:18-19 (7) มัทธิว 10:29-31 (8) ปฐมกาล 1:14 (9) สดุดี 47:8 (10) เยเรมีย์ 32:27 (11) อิสยาห์ 46:11 (12) ยากอบ 4:6 (13) อิสยาห์ 53:6 (14) ยอห์น 3:16-17 (15) 1 ยอห์น3:16 (16) โรม 6:23 (17) 1 ยอห์น 5:12 (18) ปัญญาจารย์ 3:11 (19) วิวรณ์ 21:4 (20) วิวรณ์ 21:27; 1 โครินธ์ 15:28 (21) สดุดี 34:8 (22) ยอห์น 14:27 (23) ยอห์น 1:12 (24) ยอห์น 14:6 (25) วิวรณ์ 3:20 (26) ยอห์น 10:10 (27) ยอห์น 14:23 (28) 1 ยอห์น 5:11-13 (29) โรม 8:28 (30) ยอห์น 14:27 และ 16:33 (31) ฮีบรู13:5


แชร์ต่อกับคนอื่น:
WhatsApp Share Facebook Share Twitter Share Share by Email More